Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /home/aethail1/domains/aethailand.com/public_html/forum/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3

Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /home/aethail1/domains/aethailand.com/public_html/forum/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับบริการ seo รับทำ seo ติดหน้าแรก google โดย CSLSEO
*ShoutBox
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องควรรู้เกี่ยวกับบริการ seo รับทำ seo ติดหน้าแรก google โดย CSLSEO  (อ่าน 939 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
LinePC001
Freshy
*


กำลังใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45


« เมื่อ: 30 สิงหาคม 2021, 09:30:55 »

CSLSEO.com ให้บริการ seo รับทำ seo ติดหน้าแรก Google
 
SEO สามตัวอักษรนี้ น่าจะเป็นคำที่หลายคนสนิทสนมหรือรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีเว็บของตัวเองหรือรับทำเว็บก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นได้แล้ว SEO ยังมีความสำคัญกับเว็บมากชนิดที่กล่าวได้ว่า ถ้าเว็บไหนไม่มี หรือไม่ได้ทำ SEO ไว้ เว็บนั้นอาจต้องเตรียมปิดตัวลงในอีกไม่นานก็เป็นได้
 
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การพัฒนาเว็บไซต์ (ทั้งหมด) ให้มีความพอเหมาะพอดีในการติดอันดับการทำการค้นหาของเครื่องมือทำการค้นหายอดฮิตอย่าง Google แต่การที่จะทำให้เว็บของเราไต่ขึ้นไปอยู่อันดับแรกๆ ในหน้าการทำการค้นหาหน้าแรกของ Google ได้นั้น จำเป็นที่่จะต้องการปรับปรุงเว็บไซต์ในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น Content (เนื้อหา), ความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หรือแม้กระทั่งโครงการของเว็บ ก็มีผลด้วยเช่นกัน
 
ก่อนอื่นลองพินิจพิจารณาตามนะครับว่า ถ้าสมมุติว่า คุณอยากไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ และเข้าไปค้นหาข้อมูลบน Google โดยใช้คำว่า “ที่พักเชียงใหม่” ซึ่งเป็น Keyword ในการค้นหา คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ รายชื่อของของเว็บไซต์ ที่มีความสัมพันธ์กับ Keyword ที่ใช้ค้นหาไป ที่นี้พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับว่า ถ้าเว็บของเรา ถูก Google นำไปเสนอเป็นข้อมูลในการทำการค้นหาลำดับแรกๆ ให้กับผู้ที่ค้นหา ก็จะยิ่งทำให้เว็บของเรามีจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นด้วยนั้นเอง
 
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า SEO สามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บของเราให้มากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนเข้ามาบนเว็บของเรามากเท่าไร ความน่าจะเป็นที่เราจะขายของก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อ! ลองมองดูโลกของเรื่องจริงที่ว่า ถ้าหากเราเปิดร้านจำหน่ายของในแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม ที่มีผู้คนขวักไขว่ ร้านค้าออนไลน์ของเรา ก็จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมมากแค่ไหน และโอกาสที่เราจะขายสินค้าได้ก็มีมากตามไปด้วย ซึ่งโลกของอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน ถ้าเว็บของเราถูกจัดอันดับให้แสดงผลอยู่ในลำดับแรกๆ ของผลการค้นหา นั้นหมายถึง “ทำเลทอง” เพราะจะมีผู้เยี่ยมชมคลิกเข้าสู่เว็บของเรามากมาย และความน่าจะเป็นที่จะเปลี่ยนให้ผู้เยี่ยมชมเหล่านั้นกลายเป็นลูกค้าก็มีมากตามไปด้วย
 
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การทำ SEO กับเว็บในสมัยนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ และมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง จนน่าจะเป็นสิ่งตัดขาดจากกันไม่ได้ซะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการดำเนินธุรกิจร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับ SEO เป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำให้ธุรกิจคุณดังและปังได้ทันทีในพริบตา
 
 
ในอดีตที่ผ่านมาร้านค้าออนไลน์ บริษัท หรือองค์กร มีเว็บเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของเว็บไซต์อย่างเต็มที่ ทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนทำเว็บไซต์ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ทุกๆ คนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างแพร่หลาย ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ร้านค้า บริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ เห็นคุณค่าถึงความสำคัญของการทำเว็บไซต์เพื่อเปิดแนวทาง ทางการค้ามากขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันมีเว็บไซต์เกิดขึ้นเยอะแยะ การที่ทุกๆ คนจะจดจำ URL (Uniform Resource Locator) ของแต่ละเว็บนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องพึ่ง Search Engine เข้ามาช่วยในการสร้างความจดจำ และง่ายต่อการเข้าถึงเว็บ
 
Search Engine คือ แอฟที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้จะต้องกรอกคำสำคัญ (Keyword) ในการทำการค้นหา จากนั้น Search Engine จะแสดงผลการค้นหาออกมา เป็นเว็บหลายๆ เว็บ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น นั่นก็มีความหมายว่า เว็บไซต์ที่แสดงผลในอันดับแรกๆ ของ Google Search ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดทั่วโลกอย่าง Google ก็จะมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์เป็นจำนวนไม่น้อย จึงทำให้เกิดประโยชน์ตามมามากมาย เช่น การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ การจำหน่ายโฆษณา การโปรโมทเว็บไซต์ เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีเว็บ แต่เว็บของคุณไม่ได้แสดงผลอยู่ใน Search Engine แล้วล่ะก็ เว็บไซต์ของคุณก็ไม่ต่างอะไรกับเว็บร้าง ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ด้วยเหตุผลนี้เอง เว็บต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเอง ติดอยู่ในอันดับต้นๆของ Google Search จึงเป็นที่มาของการทำ SEO นั่นเอง
 
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การจัดทำหรือปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงผลเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหาใน Google Search ใน Keyword ที่เหมาะสมและตรงตามจุดมุ่งหมายของเว็บ เพื่อให้อยู่ในระดับวิสัยทัศน์ และสามารถดึงดูดความใส่ใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
 
 
 
SEO คืออะไร? ดันเว็บไซต์ติดหน้าแรกกูเกิล ไม่ยากอย่างที่คิด
 
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ประเภทหนึ่งที่เน้นการปรับแต่งเว็บไซต์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ถูกใจระบบผลการค้นหาของ Google หรือที่เราเรียกกันว่า Search Engine (Search Engine อื่นๆ นอกจาก Google เช่น Yahoo, Bing เป็นต้น)
 
เพื่อทำให้หน้าเว็บไซต์ธุรกิจของเราติดหน้าแรกของผลการค้นหา ส่งผลให้เพิ่มการมองเห็นแบบ Organic Traffic (ยอดเข้าชมเว็บโดยไม่มีรายจ่าย) เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และประโยชน์อีกมากมายที่ธุรกิจคุณควรเริ่มทำ SEO ซึ่งข่าวดีของคนที่สนใจการทำ SEO คือ มันฟรี!! แต่จะต้องเข้าใจกันก่อนว่าการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกนั้นต้องใช้เวลาระดับหนึ่ง
 
ซึ่งบางท่านอาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือน หรือบางท่านก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่รับรองว่าหากคุณได้พื้นที่อันดับ 1 มาครองบนหน้าผลการค้นหาของ Google ยอดขายของคุณจะสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และปัจจัยสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ เพราะจุดมุ่งหมายของการทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับเท่านั้น แต่รวมถึงการบำรุงรักษาอันดับให้คงไว้ที่เดิมและไม่ทำให้ตกอันดับ ถ้าหากเราหยุดทำ SEO เมื่อไหร่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเว็บไซต์คู่แข่งของเราจะเข้ามาแทนที่
 
แล้ว SEO ที่เรากล่าวถึงนี้คืออะไรกันแน่ มีกระบวนการการปฏิบัติงานอย่างไรบ้าง หากท่านอยากรู้ ทีม CSLSEO จะมาเล่าให้ฟัง
 
 
ทำความรู้จัก Google Search เหตุผลที่หลายธุรกิจอยากได้ทำ SEO
 
เมื่อเราอยากจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เรามีความจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า Search Engine มีการปฏิบัติงานยังไง ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจหลักของกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้
 
หน้าที่หลักของ Google Search อย่าง Google คือการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มากมายก่ายกองบนโลกเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดเรียงอันดับความเกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ผู้ค้นหา (Searchers) เกิดความพึงพอใจต่อการทำการค้นหามากที่สุด ส่วนมากแล้วคนที่จะเข้ามาใช้ Search Engine นั้นมีเป้าประสงค์เพื่ออยากได้หาผลลัพธ์ให้กับอะไรสักอย่าง โดยใช้เวลาในการค้นหาน้อยที่สุด จึงทำให้ความเร็วของผลการค้นหา, ความสอดคล้องของบทความ, ประสบการณ์การใช้งาน และความน่าเชื่อถือ เป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน
 
แล้ว Google Search ใช้วิธีอะไรในการจัดเก็บข้อมูล และจัดเรียงลำดับเว็บไซต์? เราสามารถแบ่งการดำเนินงานของ Google Search ได้เป็น 3 กระบวนการด้วยกัน คือ
 
1. Crawling (การเก็บข้อมูล): แนวทางการทำการค้นหา ที่จะส่ง Bot (Crawler or Spider) ท่องไปตามหน้าเว็บต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลตั้งแต่หน้าเว็บไซต์, URLs, หัวข้อ, บทความ, รูปภาพ , วิดีโอ และอื่นๆ จนทั่วเว็บไซต์ เมื่อสแกนเว็บหนึ่งจนเสร็จ ตัว Bot นี้จะทำการค้นหาลิงค์ต่าง ๆ ในหน้าเว็บไซต์ที่เราได้ทำการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่นเอาไว้ และเข้าไปในเว็บนั้นเพื่อทำการสแกนต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Search Engine สามารถเก็บข้อมูลสดใหม่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว
 
2. Index ing (ทำดัชนี): นับจากทำการสแกนข้อมูลเว็บจนเสร็จสิ้น ระบบจะทำการ Index ing หรือการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในคลัง ซึ่งการ อินเด็กซ์ เหมือนห้องสมุดที่รวมเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทุกเว็บไซต์ที่อยากได้แสดงอยู่บนผลการค้นหา มีความจำเป็นจะต้องผ่านระบบการ อินเด็กซ์ing ของ Search Engine เสียก่อน
 
3. Ranking (ทำการค้นหาและจัดอันดับ): สุดท้ายเมื่อผู้ค้นหาเริ่มทำการค้นหาข้อมูล Search Engine จะทำการหาข้อมูลเว็บที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด จากคลัง อินเด็กซ์ แล้วนำมาแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นในหน้าผลการค้นหา ซึ่งอันดับที่เราเห็นในหน้าผลการค้นหาตอนเรา Search เราเรียกกันว่าการ Ranking ซึ่งปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ประกอบด้วยหลายอย่างด้วยกัน เช่น Keyword, URLs, ความน่าไว้วางใจและ อื่นๆ
 
 
ความสามารถ SEO ขั้นพื้นฐาน
เริ่มสร้างเว็บขึ้นหน้าแรก Google เพียง 4 วิธีการ
 
1. ทำการค้นหา Keyword ที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
 
เพื่อเชื่อมต่อการเข้าถึงระหว่างเว็บ และผู้ค้นหา เรามีความจำเป็นจะต้องมี “Keyword” (คีย์เวิร์ด) เป็นคล้าย GPS นำทางผู้ค้นหามาเจอเว็บไซต์ของเรา หากเราสังเกตเมื่อเราใส่ คำ หรือวลี อะไรก็ตามลงในช่องการทำการค้นหา เราจะเห็นหัวข้อที่มีคำเดียวกับการค้นหาของเราเสมอ
 
ตัวอย่างจากในภาพ เมื่อเราลอง Search คำว่า “SEO คืออะไร” ซึ่งก็คือ Keyword ของเรา หน้าผลการค้นหาของเราจะแสดงคอนเทนต์ที่มีความสัมพันธ์ และเว็บที่มีโอกาสจะตอบสนองความประสงค์ของเรามากที่สุด เว็บชั้นนำต่าง ๆ ที่แสดงอยู่หน้าแรกก็จะนำ Keyword (SEO คืออะไร) เข้าไปอยู่ในบทความ และหัวข้อ (กรอบสีเขียว) เพื่อทำให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของเรามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนกำลังค้นหา
 
ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ Keyword เปรียบเสมือนความปรารถนาของผู้ค้นหานั่นเอง ส่วนคนทำเนื้อหาหรือแบรนด์อย่างเราก็ต้องทำให้เว็บไซต์ของเราตอบสนองความประสงค์ โดยการใช้ Keyword ด้วยเหตุนี้หากอยากทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของ Google การทำการค้นหา Keyword ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
 
การทำการค้นหา Keyword เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทำ SEO เพื่อให้ยูสเซอร์สามารถเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จนทำให้เกิดเป็น Organic Traffic
 
 
2. ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ (Structure) เข้าใจง่ายทั้งผู้ใช้งานและ Google Search
 
ต่อมาเมื่อเราสามารถนำยูสเซอร์เข้ามาเว็บเราได้แล้ว เราต้องเชื่อมั่นว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างที่ดีพอจะทำให้ผู้ค้นหาชอบ และอยู่ในหน้านั้นๆ ต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะ Organic Traffic ที่เข้ามาจะกลายเป็น High Quality Traffic (คงอยู่เว็บเป็นระยะเวลานานจนสามารถเปลี่ยนเป็นยอดขาย) หรือ Poor Quality Traffic (เข้ามาและกดออกจนทำให้เกิด Bounce Rate หรือไม่เกิดยอดจำหน่าย) จะขึ้นอยู่กับความน่าใช้งานของเว็บเรา
 
ทั้งนี้การออกแบบโครงสร้าง SEO เว็บที่ดีจะส่งเสริมให้ Search Engine Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมให้ระบบ Bot สามารถเข้าถึงและ อินเด็กซ์ ข้อมูลบนเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างของเว็บไซต์จะเป็นคล้ายผู้นำทัวร์ให้ Bot ของ Google Search และ ผู้ค้นหาได้พบสิ่งที่ต้องการได้อย่างสะดวก ส่งผลให้เกิด UX (User Experience) หรือประสบการณ์สำหรับใช้งานที่ดีต่อผู้ค้นหาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม (UX เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ใช้งานอยู่เว็บเรานานขึ้นและช่วยในเรื่อง Ranking)
 
หนึ่งแบบอย่างของการสร้างเว็บ SEO ที่ดีคือ การแบ่งหมวดหมู่และหัวข้อของเนื้อหาต่างๆ อย่างชัดเจนเพื่อความง่ายต่อการทำการค้นหา ซึ่งจากรูปภาพด้านบนจะสังเกตได้ว่าเว็บนี้ มีหัวข้อใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ และเมื่อเข้ามาจะเจอกับหัวข้อย่อยต่างๆ ทำให้การค้นหาเนื้อหาที่อยากได้สำหรับผู้ค้นหาสามารถทำตามได้ง่าย ทั้งนี้หากเราสามารถใส่ Keyword เข้าไปในแต่ละหัวข้อได้ ก็จะเป็นการเพิ่มประสิทธิผลการทำ SEO ของเรา แต่ Keyword นั้นจำเป็นต้องสัมพันธ์กับบทความด้วย หากใส่ Keyword แล้วคำดูแปลก หรือดูคล้ายตั้งใจมากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
 
นอกจากนั้น การสร้างเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพยังมีวิธีที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มความรวดเร็วของเว็บไซต์, การทำ Sitemap, การปรับ URLs เป็นต้น จำเอาไว้ว่าปัจจัยที่สำคัญที่เราควรคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยากได้ทำ SEO เว็บไซต์นั้นก็คือ ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน (User Experience)
 
 
3.  On-Page Optimization
 
การทำ On-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล SEO ในหน้าเว็บเพจของเรา เพื่อเชื่อมั่นว่าหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถไต่อันดับหน้าผลการค้นหาให้อยู่เหนือคู่แข่งในตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Tittle Tag, Heading, Alt-Text สำหรับรูปภาพ และ Meta Description เป็นต้น ซึ่งหัวใจสำคัญของการทำ On-Page Optimization ให้สำเร็จนั้นคือ คุณภาพ Content และ Keyword เช่นการเขียนบล็อก และปรับเนื้อหาเว็บให้มีประสิทธิภาพต่อ SEO อย่างสูงสุด
 
เราสามารถเริ่มการทำ On-Page Optimization จากการปรับ Title Tag, Meta Description, Heading, Alt Text, URLs โดยการสอด Keyword เข้าไปในส่วนต่างๆ เป็นต้น
 
- Title Tag: หัวข้อเนื้อหาที่เราต้องการให้แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เราควรใช้เวลาในการคิดชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ เพราะจะส่งเสริมให้เกิดจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์มากที่สุด
 
- Meta Description: คำบรรยายสั้นๆ เพียง 140 ตัวอักษรที่แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมจาก Title Tag ว่าหากผู้ค้นทำการคลิ๊กเข้ามาหน้าเว็บเขาจะเจอเนื้อหาแบบไหน Meta Description ควรเป็นเนื้อหากล่าวถึงเหตุผลว่า ทำไมผู้ค้นหาควรจะเข้ามาเว็บของเรามากกว่าเว็บฝ่ายตรงข้าม
 
- Heading: หัวข้อต่างๆ บนหน้าเว็บเพจ ซึ่งแบ่งออกเป็น H1 - H6 ซึ่ง H1 แสดงถึงหัวข้อหลักของเนื้อหา เราควรมีหัวข้อหลักเพียงหนึ่งหัวข้อเท่านั้น เพื่อไม่ทำให้เกิดการไม่แน่ใจของผู้ใช้งานและ Google Search Bots ส่วน H2-H6 แสดงถึงหัวข้อย่อยตามคิว
 
- Alt-Text: Keyword ที่เราสามารถสอดเข้าไปในรูปภาพ เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นการค้นหา Keyword จากรูปภาพ เคยไม่เข้าใจไหมว่าหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพของ Google นำข้อมูลอะไรมาดูว่าแต่ละภาพ มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่เราทำการค้นหา ผลลัพธ์ก็คือ Alt-Text หรือ Keyword ในรูปภาพนั่นเอง
 
- URLs: เราสามารถปรับลิงค์ URLs บนเว็บให้มีความสัมพันธ์กับคำค้นหาได้จากการสอดแทรก Keyword ลงไปในส่วนด้านหลังชื่อ Domain หลัก
 
 
4. Off-Page Optimization
 
ในทางตรงกันข้าม Off-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิผล SEO นอกเว็บ ซึ่งหมายถึงการที่มี Link ของเราจากเว็บไซต์อื่น ๆ อ้างอิงถึงเรา หรือพูดถึงเรา เหมือนหน้าร้าน ที่มีลูกค้าถูกใจสินค้าของเรา พวกเขาก็จะบอกต่อให้ผู้อื่นได้รับรู้และนำเสนอให้เข้ามาที่ร้านของเรา การทำ Off-Page Optimization จะอยู่ในกฎเดียวกัน ยิ่งมีเว็บข้างนอก Link เข้ามาหาเว็บไซต์ของเรามากเท่าไหร่ ความน่าไว้วางใจที่ Google มีต่อเว็บไซต์ของเราจะมากขึ้นเท่านั้น
 
หัวใจหลักของการทำ Off-Page Optimization คือการสร้าง Link ที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกลับมาหาเว็บของเรา หรือที่เรากันว่า Backlink นั่นเอง
 
การทำ Backlink ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดคือการเขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานมากจนเป็นที่กล่าวถึง และผู้ใช้งานจะนำ Link ของเราไปอ้างอิงด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีนี้คือการทำ Backlink แบบธรรมชาติ แต่การจะส่งเสริมให้คอนเทนต์ของเราถูกบอกต่อในโลกที่มีเนื้อหาอย่างมหาศาลในอินเตอร์เนต เป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากเราไม่เจ๋งจริง
 
เพราะฉะนั้น เราสามารถเริ่มการสร้าง Backlink ได้จากการเขียนคอนเทนต์ลงบนเว็บบอร์ด หรือกระทู้ที่มีบทความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราและสร้าง Link กลับมาหาเว็บ อีกทั้งวิธีหนึ่งที่เราคงจะสนิทสนมกันดีคือ วิถีทาง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube, Twitter etc. แชร์เนื้อหาของเราผ่านวิถีทางเหล่านี้สามารถเพิ่ม Organic Traffic ได้เป็นอย่างดี
 
http://hee365.online/
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: