TON WIHARN DAENG ZONE
Senior
"Think, Believe, Dream, and Dare."
กำลังใจ: 288
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 824
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 15:41:00 » |
|
น่าจะเป็นที่ชุดลูกลอยน้ำมันค้าง แล้วจะทำให้มันหายค้างยังไงอ่ะครับ เข้าร้านซ่อมราคาประมาณเท่าไรอ่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 16:23:27 » |
|
น่าจะเป็นที่ชุดลูกลอยน้ำมันค้าง แล้วจะทำให้มันหายค้างยังไงอ่ะครับ เข้าร้านซ่อมราคาประมาณเท่าไรอ่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ ลูกลอยในถังน้ำมันอ่ะ ลองถอดออกมาดูก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TON WIHARN DAENG ZONE
Senior
"Think, Believe, Dream, and Dare."
กำลังใจ: 288
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 824
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 17:19:30 » |
|
น่าจะเป็นที่ชุดลูกลอยน้ำมันค้าง แล้วจะทำให้มันหายค้างยังไงอ่ะครับ เข้าร้านซ่อมราคาประมาณเท่าไรอ่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ ลูกลอยในถังน้ำมันอ่ะ ลองถอดออกมาดูก่อน ครับป๋ม เด๋วจะลองดูนะครับ ขอบคุณมากครับ +1
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มกราคม 2010, 17:22:21 โดย TON WIHARN DAENG ZONE »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
miny@SBA#07
AE Thailand Club Member
Professor
@@ ไม่ได้ซุ่ม แต่สุ่มทำ @@
กำลังใจ: 515
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE-100
รหัสเครื่องยนต์: ก็แค่ 7A-FTE + LPG
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่จะหาได้
สังกัดพื้นที่: บางกอกเหนือ - สระบุรี
ที่อยู่: ทาวร์ อิน ทาวร์ และ สระบุรี (แก่งคอย)
กระทู้: 4,432
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 22:51:22 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
!! รถไม่สวยแต่รวยน้ำใจ !!
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 15 มกราคม 2010, 09:20:13 » |
|
การเลือกซื้อรถยนต์มือสองไม่ใช่เรื่องง่าย ใครๆ ก็กลัวถูกหลอก แต่จะป้องกันได้อย่างไร ถ้ายังมีความเชื่อผิดๆ กันอยู่...บทความนี้ไม่ใช่วิธีเลือกรถยนต์มือสอง แต่จะช่วยลบล้างความเชื่อผิดๆ ได้
เต็นท์ต้องย้อมแมวเสมอ - รถบ้านต้องสภาพดีกว่า
ความเชื่อผิด : คนส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่า การซื้อรถมือสองจากผู้ประกอบการ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เต็นท์รถมือสอง ต้องเสี่ยงต่อการย้อมแมว ต้องถูกหลอก มักเอารถเน่ามาหลอกขาย สารพัดจะเละทั้งตัวถังห่วย ชนยับ เครื่องยนต์ช่วงล่างซ่อมแบบขอไปที มีส่วนจริงบ้างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเต็นท์ ส่วนรถที่ประกาศขายเองตามหน้านิตยสาร หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ตั้งกล่องจอดข้างทางประกาศขาย หรือที่เรียกกันว่า รถบ้าน หลายคนรีบมองว่า น่าจะสภาพดีกว่ารถเต็นท์ เพราะเจ้าของใช้เอง ขายโดยไม่มีคนกลางราคาถูกกว่า รถก็สภาพดีกว่า ไม่มีการย้อมแมว
ความเป็นจริง : ของมือสองจะมีสภาพดีหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขายเท่าไรนัก ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลและ การใช้งานของเจ้าของเดิมและการปรับสภาพของผู้ขาย (ซึ่งอาจเป็นหรือไม่เป็นคนเดียวกับเจ้าของเดิม)เรื่องเต็นท์ย้อมแมว มีมาตลอดและยังมีอยู่เสมอ เพราะหลายคนทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน เน้นกำไรสูงๆ ไว้ก่อน ลูกค้ารู้ภายหลังไม่สน แต่เต็นท์หลายแห่งในระยะหลังมานี้ ต้องการทำธุรกิจระยะยาว ไม่รับซื้อรถสภาพแย่ๆ รถที่ขายอยู่ก็มีสภาพดี เพื่อให้ขายง่ายและสร้างชื่อเสียง ในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าคนเดิมวน กลับมาซื้ออีกหรือปากต่อปากบอกเพื่อนๆ ย่อมดีกว่าย้อมแมวขายแล้วลูกค้าสาปส่ง เรื่องนี้ต้องแล้วแต่นโยบายทางธุรกิจ
ส่วนรถบ้านนั้น มีทั้งแท้และเทียม เพราะพ่อค้ารถทราบดีว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ เชื่อมั่นว่ารถบ้านต้อง สภาพดีราคาถูก ผู้ซื้อมักจะชะล่าใจตัดสินใจง่ายไม่ดูละเอียด จึงใช้วิธีเช่าบ้านเอารถไปจอดขาย ทีละคันสองคัน ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไร ค่าเช่าเดือนละไม่กี่พันบาท แล้วอาจจะอยู่อาศัยเองด้วย หรืออาจจะใช้วิธีฝากขายกับคนที่ไว้ใจ ปลอมเป็นรถบ้าน สังเกตได้ว่าผู้ขายจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดของรถคันนั้น อ้ำอึ้งเมื่อถูกถามลึกๆ และที่สำคัญคือ ชื่อในสมุดทะเบียน จะไม่ใช่ผู้ขายคนนั้น
ส่วนรถบ้านแท้ๆ ขายโดยเจ้าของจริง ไม่จำเป็นว่ารถจะมีสภาพดี เพราะเขาอาจจะดูแลรถมาไม่ดี จนเต็นท์ไม่รับซื้อหรือไม่รับเทิร์น เลยต้องมาขายเอง เป็นเรื่องแปลกที่รถบ้านซึ่งซ่อมแบบขอไปที ไม่ถูกเรียกว่าย้อมแมว
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : ให้ความเป็นกลางในใจในเรื่องของแหล่งที่ขาย ให้คิดว่าไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็มีโอกาสถูกย้อมแมวได้พอกัน จะได้ไม่ชะล่าใจ
สีสวย คือ สภาพดี อาจเพราะทำมาใหม่
ความเชื่อผิด : ไม่แปลกที่เมื่อเห็นรถคันใดสีสวยเงางาม ไม่มีรอยเฉี่ยวชนค้างอยู่ หลายคนจะคิดไปก่อนเลยว่า รถคันนี้สภาพดี เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็น เป็นอย่างแรก และไม่ซับซ้อนในการดู ถึงจะซ่อมสีมา หรือพ่นใหม่ทั้งคัน แต่ถ้าทำมาเรียบร้อย ไม่เป็นคลื่นเป็นลอน อย่างน้อยก็ดูดี และอาจทำให้ผู้ซื้อชะล่าใจ ดูส่วนอื่นไม่ละเอียด
ความเป็นจริง : สีสวยแต่อาจเป็นเพราะซ่อมมาแล้วหรือทำมาใหม่ทั้งคัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุ สวยเงางามไม่พอ จำเป็นต้องดูในรายละเอียดว่า ทำไมถึงสีเนียน เป็นสีเดิมจากโรงงานจริง หรือสีพ่นใหม่ ซึ่งต้อง เกี่ยวข้องกับอายุของรถด้วย ถ้ารถใหม่อายุไม่เกิน 7-8 ปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของสีจากโรงงานผลิตที่พอจะทนอยู่ได้ ก็ไม่ควร จะมีการทำสีใหม่มาทั้งคัน ถ้าเคยซ่อมสีมาแผลสองแผลพอทำใจได้ หากทำสีมาทั้งคัน สันนิษฐานได้ 2 สาเหตุหลัก คือ เกิดอุบัติเหตุหนักหรือจอดตากแดดขาดการดูแล เพราะรถ ปีใหม่ๆ นั้นในแวดวงเขาเน้นกันว่าต้องสีเดิมโดยผู้ขายมักจะบอกเน้นมากๆ ถ้าเป็นสีเดิมทั้งคัน เพราะจะชัดเจนว่า รถคันนั้นไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย ส่วนรถเก่าอายุเกิน 10 ปี แน่นอนว่าต้องมีการทำสีมาใหม่ แต่ควรจะใหม่แบบเรียบร้อย ไม่ใช่ใหม่แต่ภายนอก แต่ภายในหมกเม็ดเลอะเทอะ ทำแบบลวกๆ
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : สีเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สวยแต่เปลือกก็มีเยอะ ถ้าเป็นรถใหม่ สีเดิมจากโรงงานย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงการซื้อรถปีใหม่ๆ ที่ทำสีมาใหม่ทั้งคัน เพราะยังไงก็ไม่เนี้ยบไม่ทนเท่าสีโรงงาน ส่วนรถเก่าถ้าทำสีมาใหม่ ควรสวยทั้งนอกทั้งใน ละอองสีไม่เลอะเทอะ และอย่าลืมดูส่วนอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เพราะไม่ใช่สีสวยแล้วตัวถังต้องดีเสมอไป
เคาะ..ป๊องๆๆ บางทั้งคัน อาจบางแค่ภายนอก
ความเชื่อผิด : ความบางจากการเคาะด้วย มะเหงกนั้น หมายถึง ตัวถังบางมีแต่เหล็กกับเนื้อสี ไม่มีสีโป๊วทับ เนื้อเหล็กอยู่ใต้สีชั้นนอก ถ้าเคาะแล้วบาง เสียงก้องๆ ดังป๊องๆๆๆ เสียงไม่ทึบ แสดงว่าบาง ไม่เกิดอุบัติเหตุมา ไม่มีการชน แล้วเคาะซ่อมแล้วโป๊วสีทับ ผู้ขายบางคนรีบบอกเลยว่า รถคันที่จะขายบางทั้งคัน ป๊องทั้งคัน เพื่อแสดงว่าไม่มีการชนหนักมาก่อน ผู้ซื้อจะได้สนใจ
ความเป็นจริง : การเคาะด้วยหลังมือไปทั่วคันรถ สามารถตรวจสอบความบางของตัวถังด้านนอกได้ว่า มีสีโป๊วทับหรือไม่ แต่การที่ตัวถังในส่วนที่เคาะนั้นบาง ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นไม่เคยเกิด อุบัติเหตุหนักๆ ทุกชิ้นที่อยู่ภายนอกอาจบาง ทั้งที่รถคันนั้นเคยชนเละมาแล้ว เพราะซ่อมแบบ เปลี่ยนทั้งชิ้น เช่น เปลี่ยนประตูทั้งบาน ฝากระโปรงทั้งชิ้นหรือแม้แต่แผ่นหลังคา ถึงจะคว่ำมา ก็เปลี่ยนหลังคาทั้งแผ่นได้ ถ้าซ่อมโดยวิธีเคาะดึงโครงสร้างข้างในแล้ว ชิ้นนอกใช้วิธีเปลี่ยนเอา หลังมือเคาะ ยังไงก็ป๊องๆ ยังไงก็บางทั้งคัน
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : การเคาะตัวถังภาย นอกบอกไม่ได้ว่า รถคันนั้นไม่เคยชน เพราะบอกได้แค่ว่า ชิ้นนั้นไม่เคยชน แต่ข้างในนั้นอาจชนมาเละ แล้วเปลี่ยนชิ้นใหม่ภายนอกมา อะไหล่ตัวถังทั้งแท้ เทียบ เทียม ใหม่ เก่า มีให้เลือกเปลี่ยนอย่างสะดวก เมื่อเคาะฟังเสียงข้างนอกแล้ว ที่สำคัญคือ ต้องดูตะเข็บ รอยเชื่อม รอยอาร์คภายในทุกจุด เท่าที่จะดูได้อย่างละเอียด ถึงจะทราบได้ว่า รถคันนั้นเคย เกิดอุบัติเหตุหนักๆหรือไม่ การเคาะแล้วเสียงป๊องๆ เป็นส่วนประกอบย่อยเท่านั้น ยุคนี้ชิ้นไหนๆ ก็เปลี่ยนกันได้ในราคาไม่แพง
เลขระยะทางบนหน้าปัด อย่าเชื่อมาก
ความเข้าใจผิด : แม้คนส่วนใหญ่จะพอทราบกันว่า เลขกิโลเมตรบนมาตรวัดระยะทางหรือเรียกกันแบบชาวบ้านว่า ไมล์ (ทั้งที่ไม่ใช่ระยะเป็นไมล์) สำหรับการซื้อ ขายรถมือสองนั้นเชื่อถือแทบไม่ได้ เพราะสามารถหมุนเลขกลับได้ง่าย มีช่างเก่งๆรับทำให้ในราคาคันละ 500-1,000 บาทเท่านั้น แต่ผู้ซื้อก็อดไม่ได้ที่จะดูเลขไมล์ ประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ ดูเลขไมล์แล้ว ก็ไม่ค่อยเชื่อ บางคนยังไล่ไปดูร่องรอยการรื้อหน้าปัดด้วย ส่วนรถที่ใช้เลขไมล์เป็นดิจิตอล คนส่วนใหญ่คิดว่า เปลี่ยนแปลงจากการใช้งานจริงไม่ได้ ทั้งที่บางคันอาจทำ แต่อาจจะยากกว่าแบบอนาล็อก
ความเป็นจริง : ไม่ควรถือว่าเลขไมล์บนมาตรวัดเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ ควรดูสภาพส่วนอื่นที่สำคัญมากกว่าการเชื่อตัวเลขบนหน้าปัด เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอล โดยในแบบหลังนั้น อาจจะใช้วิธีป้อนสัญญาณให้เลขวิ่งเดินหน้าจนกลับมาขึ้นรอบใหม่ก็เป็นได้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : เลขไมล์แทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ถ้าสภาพของอุปกรณ์อื่นไม่สอดคล้องกัน เช่น เลขไมล์น้อย แต่เบาะทรุด เปื่อย ปุ่มกดต่างๆ เลอะเลือนหรือถูกกดจนเลี่ยนมนไปหมดแล้ว
รถเต็นท์ราคาแพง - รถบ้านราคาถูก
ความเชื่อผิด : ความเชื่อนี้ไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะรถในเต็นท์ส่วนใหญ่ มักจะมีราคาแพงกว่ารถบ้านแท้ๆ เพราะทำธุรกิจก็ต้องมีกำไร หรือต้องมีค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพ รถเต็นท์ย่อมต้องเนี้ยบ ส่วนรถบ้านนั้นอะไรพังนิดพังหน่อย เฉี่ยว นิดๆ หน่อยๆ แล้วยังไม่ซ่อม ก็ไม่มีใครว่า แต่รถบ้านบางคันอาจจะตั้งราคาไว้แพง เพราะเจ้าของศึกษาราคาจากรถเต็นท์ที่ประกาศไว้ หรือแพงโอเวอร์ไปเลยก็ยังมี และคิดไปเองว่าจะขายได้ราคาตามนั้น ทั้งที่ในเต็นท์นั้นเป็นแค่ราคาตั้ง พอซื้อจริงอาจจะลดได้อีกมากก็เป็นได้
ความเป็นจริง : ในเต็นท์อาจแพงกว่ารถบ้าน แต่ถ้าซื้อเป็นเงินผ่อนก็สะดวกดี เพราะมีบริการหรือติดต่อแหล่ง เงินกู้ให้ได้ หรือถ้าบางเต็นท์ร้อนเงิน หรือใช้นโยบายเงินหมุนเร็ว กำไรนิดหน่อยก็ขายดีกว่า แช่นาน ราคาก็อาจไม่แพง
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : ตั้งเงื่อนไขในการซื้อไว้ว่า ราคาไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขาย จะซื้อที่ไหน ขอให้สภาพดีแล้วมีราคาที่เหมาะสมกันเป็นพอ ถูกแต่สภาพไม่ดี ก็ไม่น่าสน
เต็นท์รับประกัน ซ่อมฟรี ดูแลฟรี ไม่ดีคืนเงิน
ความเชื่อผิด : บริการหลังการขายตามโฆษณาซ่อมแบบค่าแรงฟรีเป็นระยะยาว คิดว่าช่างจะดี บริการเยี่ยม เสียแต่ค่าอะไหล่ หรือซื้ออะไหล่เข้าไปเองได้
ความเป็นจริง : เมื่อใช้บริการจริงกลับพบกับสารพัดปัญหา ช่างไม่เก่ง ค่าแรงฟรีจริง แต่บวกลงไปในค่าอะไหล่ จนแพงเกินจริงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จะซื้ออะไหล่ไปให้ก็อิดออด สารพัดจะบอกปัด เป็นเรื่องปกติครับ ขายรถมือสอง 1 คันได้กำไรไม่กี่บาทจะมาดูแลหรือซ่อมฟรีกันในระยะยาว ได้อย่างไร แทบไม่เคยเห็นเต็นท์ไหนประกาศออกมาแล้วบริการจริงๆ ได้ดีเลย
ความเข้าใจที่ถูกต้อง : ไม่ต้องสนใจเงื่อนไขซ่อมแบบค่าแรงฟรี ยกเว้นเรื่องการรับประกันที่บางเต็นท์มีให้ในระยะสั้น เช่น 1 เดือนซ่อมฟรีแบบไม่มีข้อแม้ ก็ควรทำเอกสารรับประกันให้รัดกุมและชัดเจนที่สุด
การเลือกรถยนต์มือสอง แบบที่ผู้ซื้อดูอะไรไม่เป็นเลย นอกจากสีเงาๆ และทดลองขับดู เป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก ถ้าสนใจจริงๆ ควรหาคนที่มีความรู้มากกว่า ถึงจะไม่เก่งมากแต่ก็ยังดี และที่สำคัญคือ ลบความเชื่อผิดๆ ออกไปก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 17 มกราคม 2010, 21:06:51 » |
|
น่าจะเป็นที่ชุดลูกลอยน้ำมันค้าง แล้วจะทำให้มันหายค้างยังไงอ่ะครับ เข้าร้านซ่อมราคาประมาณเท่าไรอ่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ ลูกลอยในถังน้ำมันอ่ะ ลองถอดออกมาดูก่อน ครับป๋ม เด๋วจะลองดูนะครับ ขอบคุณมากครับ +1 หายยัง สาเหตุ จากอะไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 19 มกราคม 2010, 10:09:29 » |
|
โอเวอร์ฮีท!!...ป้องกันได้ การเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รถยนต์เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รถเก่า หรือรถมือสอง ที่ผ่านการปรับแต่ง หรือการใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สายไฟไม่ได้มาตรฐานจนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ชิ้นส่วนอะไหล่มีขนาดใหญ่เกินไป และหากผู้ขับขี่ไม่ดูแลเอาใจใส่เครื่องยนต์ ส่งผลให้ระบบหล่อเย็นไม่สามารถระบายความร้อน ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือที่เรียกกันว่าโอเวอร์ฮีท (OVERHEATED) และเกิดเพลิงไหม้ได้
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด ดังนี้
ก่อนขับขี่ ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ หากเป็นรถใหม่ ควรตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ควรตรวจสอบ 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์
หมั่นเติมน้ำสะอาด และถ่ายน้ำในหม้อน้ำทิ้งทุก 4 - 6 เดือน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือตะกอนตกค้าง ทำให้หม้อน้ำอุดตัน พร้อมตรวจสอบระบบต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ ดังนี้ *สายพานเครื่องยนต์ไม่หย่อน หรือตึงเกินไป *พัดลมระบายความร้อนอยู่ในสภาพที่ ใช้งานได้ดี ไม่แตกหักหรือบิดงอ *หากตรวจพบรอยรั่วตามจุดต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ เช่น ท่อยางหม้อน้ำ ครีบรังผึ้งระบายความร้อน ปั้มน้ำ เป็นต้น ควรให้ช่างที่มีความชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที
ขณะขับขี่ ผู้ขับขี่สามารถสังเกต อาการเครื่องยนต์ร้อนจัดได้จากเข็มวัดอุณหภูมิที่หน้าปัด โดยปกติเข็มวัดอุณหภูมิจะอยู่ระหว่างตัว C และ H หรือ 85 - 90 องศาเซลเซียส หากเข็มวัดอุณหภูมิเคลื่อนมาอยู่ใกล้ตัว H แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด ให้รีบปิดแอร์ เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์และนำรถจอดเข้าข้างทางในบริเวณ ที่ปลอดภัยในทันที และรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่อง
แต่หากมีไอน้ำพุ่งขึ้นมาจากฝากระโปรงรถ ควรรอจนความร้อนของเครื่องยนต์ลดลง แล้วจึงค่อยเปิดฝากระโปรงรถ
ไม่เปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะไอน้ำอาจพุ่งขึ้นมาจนทำให้บาดเจ็บได้ และห้ามราดน้ำที่เครื่องยนต์ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
ในขณะเปิดฝาหม้อน้ำ ควรนำผ้าหนาๆ มาคลุม หรือวางบนฝาหม้อน้ำ กรณีที่น้ำในหม้อน้ำเหลือน้อยหรือหมด ควรรอจนเครื่องยนต์เย็นลง แล้วจึงค่อยเติมน้ำเปล่าหรือน้ำยาหล่อเย็นอย่างช้าๆจนเต็ม และปิดฝาหม้อน้ำให้สนิท
จากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เดินเบา เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องยนต์ หากพบรอยรั่วซึม ควรแจ้งช่างผู้ชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด จนเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รถ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 29 มกราคม 2010, 10:02:33 » |
|
หยุดแล้ว...ไม่เจ็บตัว ขนาดเดินไปเดินมาเฉยๆ ยังชนกันปากแตกได้ นับประสาอะไรกับรถที่แล่นไปทั่ว โอกาสกระทบกันย่อมมีอยู่สูง อย่าว่าแต่ขับรถเลยแม้กระทั่งจอดรถแวะกินข้าวต้มอยู่ข้างทาง พวกยังเซเข้ามาเสยจะเละไปทั้งแถบ
เรื่องของอุบัติเหตุแม้จะเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นมิได้ แต่เราสามารทำให้โอกาสเกิดเรื่องมีน้อยลง หรือลดอาการบาดเจ็บยามเป็นเรื่องให้เบาบางลงได้ สิ่งที่ควรจะสนใจเรียนรู้และฝึกฝนนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องของการหยุดรถ ว่าควรกระทำประการใดรถจึงจะสามารถหยุดได้อย่างที่เราต้องการ ซึ่งวิธีหยุดรถให้ดีนั่นไม่ได้หมายความว่าจะพึ่งพาเฉพาะประสิทธิภาพเบรคของรถกันเพียงอย่างเดียว ยอมรับว่า รถสมัยนี้มีอุปกรณ์ไฮเทค ที่สามารถช่วยคนขับได้เยอะ ในเรื่องของการหยุดรถให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS ป้องกันการล็อคของล้อ ระบบ BA ช่วยเพิ่มพลังในการเบรคแบบรวดเร็วกะทันหัน หรือระบบ EBD ที่รู้ดีว่าจะต้องใช้แรงดันเบรคแต่ละล้อกี่มากน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเท้าที่เหยียบเบรคลงไปด้วย
เบรกแบบอัตโนมัติ การขับรถที่ดีนั้นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ถ้าเผลอเมื่อไหร่มักจะเป็นเรื่อง (เกือบทุกที) แต่ในความเป็นจริงนั้น คงไม่สามารถตั้งสมาธิได้ตลอดเวลา บางคนก็ขับรถไปคิดไป เรื่องงาน ครอบครัว หรืออะไรต่อมิอะไร บางคนก็มัวแต่พูดโทรศัพท์ และมีอีกเยอะที่มักสนใจวิวข้างทางมากกว่าเส้นทาง ก็เลยเกิดเป็น “ทีเผลอ” ขึ้นมา
ด้วยเหตุที่เราไม่สามารถมีสมาธิในการขับรถได้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยเราก็ต้องป้องกันและแก้ไข โดยการกระทำให้เป็นสัญชาตญาณในการแก้ไขเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นการหักหลบหรือเบรคก็ตาม ซึ่งหากทำได้โดยสมองไม่ต้องสั่ง จะทำได้ดีและรวดเร็วกว่าผ่านการสั่งของสมองซะอีก ซึ่งลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วทำได้ ต้องมีประสบการณ์และผ่านการฝึกหัดทดลอง ซึ่งเล่นไม่ยากนัก โดยการหาเส้นทางที่ปลอดภัยไม่มีรถ อาจจะเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรที่รกร้าง ตรอก หรือซอยลึกที่ไม่ค่อยมี ใครผ่าน ให้ขับรถด้วยความเร็วแค่ 50-60 กม./ชม. ก็พอ เพราะอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดที่ความเร็วประมาณนี้ แล้วหัดเบรคโดยการยกเท้าจากคันเร่งมาเหยียบเบรคให้เร็วและให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟังเหมือนไม่ยากแต่ความจริงมันก็ไม่ง่ายนักต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเบรคได้รวดเร็ว ดั่งใจต้องการ
เหยียบลงไปอย่ากลัวเบรคเจ็บ เชื่อหรือไม่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยกล้าลงเบรคกันแรงเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้เค้าจึงต้องคิดค้นเจ้าระบบ BA หรือ Brake Assist System ขึ้นมาให้ช่วยใช้งานกัน เนื่องจากโดยมากมักจะใช้เบรคกันเบาเกินไป โดยเฉพาะสมัยแรกที่ ระบบเบรค ABS เริ่มมีใช้กัน คนขายรถมักจะโฆษณาว่าช่วยให้รถหยุดได้ดีกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรค ABS ใช้ ซึ่งก็จริงเหมือนกัน แต่มันหมายถึงการเบรคบนทางเปียกลื่นต่างหาก ถ้าเป็นการเบรคบนถนนแห้งแล้ว รถที่มีระบบเบรก ABS นั้นจะใช้ระยะเวลาในการเบรคยาวกว่ารถที่ไม่มีระบบเบรค ABS ใช้ เนื่องจากการเบรคของ ABS จะไม่จับจานเบรคแน่นตลอดเวลา แต่จะจับและคลายตัวปล่อยจานเบรคเป็นจังหวะ เพื่อให้ล้อยังหมุนไปจับกับพื้นถนนลดการล็อคของล้อ จึงช่วยให้มีการทรงตัวที่ดีขณะเบรค และสามารถควบคุมทิศทางได้ ด้วยเหตุนี้พวกรถที่มีABS จึงไม่ได้หมายความว่า การเบรคบนทางแห้งจะได้ระยะเบรคสั้นกว่าพวกรถที่ใช้ระบบเบรคแบบธรรมดา
ดังนั้น ในบทเรียนการขับรถปลอดภัยของบริษัทรถทุกแห่งหรือในหลักสูตรการขับปลอดภัย จะมีบทเรียนการเบรคของรถที่ใช้ระบบเบรค ABS ด้วย โดยการสอนให้เบรคอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเบรคบนทางที่มีผิวถนนต่างกัน ระหว่างล้อซ้ายกับล้อขวา เช่น ล้อด้านซ้ายอยู่บนทางเปียกหรือลื่น แต่ล้อฝั่งขวาอยู่บนทางปกติ และการเบรคบนทางลื่น รวมถึงการหักหลบ พร้อมกับการเบรค เพื่อให้คนขับได้สัมผัสกับการลงเบรคกันอย่างหนักหน่วงกว่าที่คิด และให้รับทราบถึงผลการเบรคว่า เป็นประการใด จะได้รู้วิธีและพร้อมที่จะใช้งาน
สำหรับรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มีระบบเบรค ABS ใช้ จะมีปัญหาอยู่บ้างเรื่องการสึกของยาง หากมีการใช้เบรคอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งล้อล็อค แต่ก็ยังอยากให้สัมผัสกัน หากเล่นกันไม่กี่ครั้ง ยางคงไม่สึก หรอจนเสียรูป โดยการหาทางที่กว้างขวางและโล่งพอ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่เป็นอันตราย ต่อจากนั่นให้ลองเบรคกันที่ความเร็ว 60 กม./ชม.โดยการเหยียบเบรคให้เร็วและแรงที่สุด จนกระทั่งล้อเกิดการล็อคเริ่มมีอาการลื่นไถล ให้รีบถอนเท้าออกจากเบรคแล้วกดซ้ำ ส่วนพวกรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา ให้หัดเหยียบเบรคนิ่งแล้วจึงค่อยเหยียบคลัทซ์ เพื่อจะได้ใช้เอนจิ้นเบรคมาช่วยการหน่วงความเร็วของรถ และด้วยความเร็วระดับนี้หากใช้รถเกียร์ธรรมดา ลองเบรคที่เกียร์ 3 เกียร์ 4 กับเกียร์ 5 (รถ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ) จะพบว่าระยะเบรคในเกียร์ 3 จะสั้นกว่า เกียร์ 4 และเกียร์ 5 ตามลำดับ เพราะในจังหวะเกียร์ 3 จะมีเอนจิ้นเบรคมากกว่าและที่เกียร์ 4 ก็มีเอนจิ้นเบรคมากกว่าเกียร์ 5 ซึ่งจะได้นำการเชนจ์เกียร์ไปช่วยในการใช้งานจริงเพื่อให้ได้ระยะเบรคสั้นลง
รู้จักหน้ารู้จักใจ ควรจะพยายามทำความเข้าใจลักษณะการทำงานของเบรคให้ดี รถแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะมีการทำงานของเบรค แตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างพวกรถรุ่นเก่าที่ยังไม่มี ABS ใช้ หรือพวกที่ใช้ระบบเบรคแบบหน้าดิสค์หลังดรัม จะพบว่าเมื่อเหยียบเบรคแล้วในจังหวะแรกตัวรถยังไม่ลดความเร็วลง ต้องเหยียบเบรคให้ลึกลงไปอีกนิด คราวนี้ผ้าเบรคถึงจะจับตัวชะลอความเร็วของรถลงมา และเมื่อเหยียบเบรคให้ลึกลงไปอีก การทำงานของเบรค จะเพิ่มเป็นทวีคูณ ในรูปแบบนี้เปอร์เซ็นต์ล้อล็อคมีอยู่สูง ต้องระมัดระวังเรื่องรถลื่นไถลเสียการทรงตัวให้ดี โดยเฉพาะยามเบรคแบบกะทันหัน หรือเบรคอยู่บนทางเปียกลื่น
ในอีกลักษณะหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกรถรุ่นใหม่ที่มีระบบ ABS ใช้แล้ว และมักจะเป็นพวกรถที่ใช้ระบบดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ การเหยียบเบรคจะเริ่มมีประสิทธิภาพสูง ตั้งแต่ต้นเลย พอแตะเบรคลงไปก็รู้สึกได้เลยว่าเบรคเริ่มทำงานแล้ว ในลักษณะเช่นนี้การเบรคเพื่อชะลอความเร็วของรถ จะทำได้ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าเราเพิ่มกำลังในการเหยียบเบรคอีกหน่อยรถต้องหยุดแน่นอน อันเป็นการเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากประสิทธิภาพในการทำงานของเบรค จนกระทั่งเกิดมีเหตุด่วนเหตุร้ายทำให้ต้องใช้เบรคเพื่อหยุดรถขึ้นมา ปรากฏว่าเมื่อใช้แรงในการเหยียบเบรคตาม ที่คิดเอาไว้ กลับไม่สามารถ หยุดรถได้ตามต้องการ เพราะลักษณะการทำงานของเบรคแบบนี้ ช่วงเหยียบเบรคเพื่อชะลอรถมักจะทำตัวดี แต่ถ้าจะเบรคเพื่อหยุดค่อนข้างลำบาก ต้องใช้แรงกดคันเหยียบเบรคมากกว่าที่คิดเยอะเลย ซึ่งกว่าจะรู้มักจะ “ตูม” ซะก่อน
ทำตัวพร้อมที่จะหยุดทุกเวลา เราสามารถแบ่งลักษณะการขับรถได้ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การขับขี่ในเมือง และการเดินทางออกต่างจังหวัด ซึ่งในการขับรถอยู่ในเมืองนั้น จะว่าไปโอกาสรถสะกิดกันมีมากกว่าตอนเดินทางซะอีก เพียงแต่ว่ามันไม่รุนแรงเท่านั้นเอง ตัวก่อเรื่องหลักก็มีพวกรถแท็กซี่ที่พร้อมจะแว็บเข้ารับผู้โดยสาร โดยไม่สนใจว่าจะต้องตัดเลนจากขวาสุดมาซ้ายสุด รถมอเตอร์ไซด์ที่พร้อมจะแซงซ้ายเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย และชอบแซงขวา อีตอนเราเปิดไฟเลี้ยวขวา รถเมล์ใหญ่ รถเมล์เล็ก กับรถตู้โดยสาร ที่พร้อมจะออกจากป้ายทันที ที่ต้องการ โดยไม่สนใจรถที่อยู่เลนขวา โปรดหลบเอาเองถ้าไม่อยากโดนโซ้ย
จุดอันตรายที่ควรระมัดระวังให้มาก จะมีอยู่ 2 อย่างประการแรกเป็นช่วงขึ้นสะพานหรือเนินที่ไม่เห็นฝั่งตรงข้าม เส้นทางโล่งกดกันได้สบาย แต่ที่ไหนได้พอพ้นเนินขึ้นมาก็เจอรถจอดติดเป็นทิวแถว ทำให้ต้องตาลีหรือตาเหลือก กดเบรคกันแต่มักจะไม่ทันซะแล้ว หรือหากเราเบรคทันก็มักจะโดนรถที่ตามหลังมาอัดเอา ดังนั้นถ้าเจอสะพาน หรือเนินที่ไม่เห็นสภาพฝั่งตรงข้ามควรจะชะลอความเร็วลงนิด โดยการเหยียบเบรคเบาๆ แช่เอาไว้ เพื่อให้รถที่ตามหลังเห็นไฟเบรกจะได้ลดความเร็วลงมั่ง รวมทั้งมองเลนข้างๆ ว่าว่างหรือเปล่า เผื่อต้องใช้พื้นที่ในการหักหลบ พยายามประพฤติให้เป็นนิสัย จนกระทั่งทำได้เป็นอัตโนมัติทุกครั้งโดยไม่ต้องสั่ง
ช่วงการลงสะพานและลงเนินเป็นจุดอันตรายอีกแห่งหนึ่ง ด้วยแรงรถผสมกับแรงดึงดูดของโลกทำกินแรงเบรค มากกว่าปกติ เวลาเป็นเรื่องมักจะเบรคไม่ค่อยทัน ต้องระมัดระวังให้ดี และหากมีเรื่องให้ใช้เบรคต้องเผื่อโดยการเบรคให้หนักกว่าธรรมดา
การขับรถยามท่องเที่ยวเดินทาง นอกจากภัยที่เกิดขี้นจากตัวเอง เช่น “เมาแล้วขับ” หรือ “ง่วงแล้วขับ” ก็ยังมีปัญหาในด้านการขับขี่ยิ่งเดินทางยาวใช้เวลาเยอะโอกาสพลาดยิ่งสูง ตอนแรกอาจจะตั้งอกตั้งใจขับ แต่พอนานไปก็ชักจะไร้สมาธิ ดังนั้นต้องพยายามเตือนตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แล้วยังต้องเรียนรู้ช่องทางที่จะเพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนการระมัดระวังจุดอันตรายเป็นพิเศษ
สิ่งที่พูดกันมากในการขับรถด้วยความเร็วและวิ่งทางยาว อยู่ที่ควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าเท่าไหร บ้างก็ใช้สูตรเพิ่มระยะทุกความเร็วที่เพิ่มขึ้น 10 กม./ชม. ให้เพิ่มระยะห่างอีก 1 ช่วงคันรถ ซึ่งออกจะรวบรัดไปนิด เพราะมีตัวแปรค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น เส้นทางราบเรียบและโล่ง ซึ่งเรามองได้กว้างไกล หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเรา มักเห็นได้ล่วงหน้า แม้รถคันข้างหน้าจะบดบังสายตาไปบางส่วนก็ตาม แบบนี้จี้ติดเข้าไปหน่อยก็ได้ เพราะหากมีอะไรเราสามารถมองเห็นได้ก่อน นอกจากนี้ประสิทธิภาพการทำงานของเบรคในรถแต่ละรุ่นก็ต่างกัน อย่างรถคันหน้าเป็นรถยุโรปราคาแพง ใช้ดิสค์เบรคแบบมีช่องระบายความร้อนทั่งหน้าและหลังใช้แม่ปั๊ม 4 Pot ที่ล้อหน้า ส่วนล้อหลังใช้แบบ 2 Pot แค่แตะเบรคเบาๆ ความเร็ว 160 กม./ชม. ยังใช้เวลาหยุดไม่กี่สิบเมตร ต่างกับรถคันหลังเป็นรถญี่ปุ่นคันโตเครื่อง ใหญ่ แต่ใช้เบรคอันนิดเดียว ด้านหน้าใช้แม่ปั๊ม Pot เดียว ส่วนด้านหลังก็เป็นดรัมเบรค การเบรคนั้นวางใจลำบาก จนกระทั่งเจ้าของรถจะติดร่มอยู่แล้ว คิดเอาเองว่าแบบนี้หากรถญี่ปุ่นขับตามหลัง ไปเทียบกับให้รถยุโรบอยู่หลัง โดยขับด้วยความเร็วพอๆ กัน ทั้งสองกรณี ระยะทิ้งห่างควรจะเท่ากันหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นเรื่องฝีมือคนขับว่ามือเท้าว่องไวขนาดไหน
ดังนั้นการทิ้งระยะห่างกับรถคันข้างหน้า จึงควรว่ากันตามสถานการณ์และความรู้สึก โดยถามตัวเองว่า “ด้วยระยะห่างแค่นี้หากรถหน้ามีอะไรเกิดขึ้น เราสามารถหยุดทันหรือเปล่า” ถ้าตอบว่าสบายก็ยังสามารถขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมได้อีก แต่ถ้ารู้สึกเหงื่อแตกใจสั่นมีความเครียดในการขับตาม ก็ควรยืดระยะให้ห่างออกมา
ในการขัยรถท่องเที่ยวเดินทางควรใส่ใจกับจุดคับขันต่างๆ อย่างเช่น ถนนผ่านเขตหมู่บ้าน หรือมีชุมชนหนาแน่น หากเป็นยามบ่ายใกล้เย็นก็ต้องระวังรถจักรยาน และเด็กนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนกำลังเดินทางกลับบ้านให้ดี และถ้าเป็นยามเย็นใกล้มืด ก็ต้องระวังพวกรถอีแต๋น หรือพวกรถมอเตอร์ไซด์โผล่พรวดออกมาจากข้างทาง ต้องใช้ความเร็วที่แน่ใจว่าหากมีอะไรโผล่ขึ้นมาขวางทางบนถนน เราสามารถเบรครถหยุดได้ทัน
เบรคข้างหน้าแต่ให้ระวังข้างหลัง บอกตรงๆ ว่าในการหยุดรถนั้น ทางด้านหน้าถือว่า “ไม่เท่าไหร่” หากเรามีการเตรียมตัว มีความรู้ มีประสบการณ์ มักจะสามารถเบรคได้ทันท่วงที แต่ที่มีปัญหาคือพวกรถที่ตามหลังเรามานั้น เค้าสามารถเบรคทันตามเราไปด้วยหรือเปล่า ไม่ใช่ยึดเอาบั้นท้ายรถเราเป็นที่เบรค ด้วยเหตุนี้ในการเบรคหยุดรถที่ปลอดภัยนั้น ไม่ใช่ว่าจะมองเฉพาะด้านหน้าอย่างเดียว แต่ต้องมองด้านหลังดูรถที่ตามด้วยว่าเค้าเบรคทันเหมือนเราหรือเปล่า หากพบว่าท่าทางจะรอดลำบาก เราก็ควรขยับรถไปทางด้านให้มากที่สุดเป็นการเพิ่มระยะในการเบรคขึ้นมาอีกหน่อย และหากเป็นไปได้ในการขับรถ ให้พยายามมองรถช่องทางด้านข้างเป็นระยะด้วย เพราะหากคันหน้าหยุดรถแล้วเราเกิดเบรคไม่ทันขึ้นมา หรือหลังจากมองกระจกหลังดูการเบรครถแล้ว พบว่า ท่าทางของรถคันหลังคงรอดยาก แล้วช่องทางด้านข้างที่เรามองไว้มันว่างพอจะแว่บหลบออกไปได้ ก็อย่าช้า ให้รีบเผ่นทันที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2010, 10:32:32 » |
|
การดูแลรักษาสีรถให้สวยสดใส โดยธรรมชาติของสารเคมีที่นำมาประกอบเป็นสีนั้นจะสามารถต้านทาน และคงทนต่อสภาพแวดล้อมหรือความผันแปรของภูมิอากาศได้ดีในระดับหนึ่งเท่านั้น หากการบำรุงไม่ดีพอหรือไม่ถูกวิธีแต่จะทำให้รถเสียเร็วยิ่งขี้น
ข้อควรระวังเพื่อการรักษาสีรถ มีดังนี้
1.ไม่ควรจอดรถไว้ใกล้ๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น โรงงานผลิต อาหารสัตว์ โรงงานผลิตสารเคมีเพราะฝุ่นละอองจากอาหารสัตว์ หรือสารเคมีที่ปลิวมาติดผิวสีของ รถอาจจะเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นสามารถกัดสีให้เป็น จุดเป็นดวงได้หรือทำให้สีอ่อนตัวลงได้
2.ควรพยายามจอดรถในที่ร่มหรือที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นไม่อับชื้น หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรใช้ผ้าคลุมกันแดดไว้
3.เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่น โคลนหรือชายทะเลเป็นเวลานานๆ ควรล้างฝุ่น โคลนหรือ คราบต่างๆ ออกให้หมดเพราะคราบเหล่านี้ สามารถดูดความชื้นได้ดี จึงทำให้ฝิวสีเสื่อม คุณภาพได้ง่ายและบางครั้งสิ่งสกปรกที่เกาะติดผิวสีรถก็เป็นสารเคมีที่ทำอันตรายต่อสีรถด้วย
4.อย่าทำให้รถเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนเพราะจะทำให้ตัวรถผุและจะลามออกเป็น บริเวณกว้าง ทั้งนี้ เพราะรอยขีดข่วนจะไม่สามารถป้องกันความชื้นให้กับผิวโลหะได้
5.หากมีคราบน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ เปื้อนผิวสี ต้องรีบล้างออกทันที โดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดหรือผสมสบู่อ่อนๆ หรือ แชมพูสำหรับล้างรถก็ได้ ห้ามใช้ทินเนอร์ น้ำมันหรือสารเคมีใดๆ ทำความสะอาดสีรถโดยเด็ดขาด สารเคมีที่มีโอกาสจะถูกสีรถได้ง่ายก็คือ น้ำมันเบรกซึ่งจะกัดสีในทันทีที่สัมผัสกับสีรถ การใช้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และน้ำหอมประจำรถก็ฒีผลต่อสีรถเช่นกัน หากหกเลอะรถควรรีบใช้ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ดออกโดยเร็วและล้างด้วยน้ำ
ลบคราบสติ๊กเกอร์บนสีรถ รอยคราบที่เกิดจากการแกะสติ๊กเกอร์ที่อยู่บนผิวสีรถออกนั้น สามารถแก้ไขได้ โดยใช้ยาขัด Extra100 แล้ว ลงแว๊กซ์อ่อนอีกครั้ง ถ้าสีบริเวณที่ลอกสติ๊กเกอร์ออกนั้นแตกต่างกับผิวสีเดิมมาก ให้ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1200 ขัดบนพื้นผิวบริเวณนั้นก่อนแล้วลงแว๊กซ์อีกครั้ง แต่หากไม่แน่ใจที่จะลงมือแก้ไขเอง ควรนำรถเข้า ศูนย์บริการ ให้ช่างผู้ชำนาญทำ
แก้ปัญหารถสีด้าน รถสีด้านเกิดจากการนำรถตากแดดไว้บ่อยๆ หรือใช้งานรถมาเป็นเวลานานโดยขาดการ ดูแลรักษา วิธีดีที่สุดสำหรับการแก้ไขสีรถด้านคือ เจ้าของควรจะนำรถเข้าทำสีใหม่ เพื่อให้สีมีความ คงทน แต่ถ้าไม่ต้องการทำสีใหม่ให้ใช้แว๊กซ์ ขัดพื้นผิวบริเวณนั้น โดยต้องเลือกใช้แว๊กซ์ให้ถูกกับประเภทงาน การใช้แว๊กซ์ขัดจะช่วยได้เพียงแค่การชลอการเสื่อมสภาพของสีเท่านั้น ไม่สามารถทำให ้ผิวสีกลับสู่สภาพเดิมได้ นอกจากนี้การล้างรถก็มีส่วนทำให้รถด้านด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรล้างรถ ในช่วงที่เพิ่งใช้งานเสร็จหรือขณะที่พื้นผิวของรถยังร้อนอยู่ เด็ดขาด
สีที่ซ่อมใหม่กับสีเดิมไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วงานซ่อมสีโดยเฉพาะสีเมทัลลิก (สีที่มีสีบรอนช์ผสม) การซ่อมสีใหม่ให้เหมือนเดิม 100% เป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความซีดของสีเดิม แรงดันลมขณะพ่นสี อุณหภูมิของอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการแห้งตัวของสีและขนาดของหัวปืนพ่นสี เป็นต้น ฉะนั้นหาก ซ่อมสีใหม่แล้ว สีที่ได้กลมเกลือนหรือใกล้เคียงกับสีเดิมถึง 95% โดยที่มีเวลาผ่านไป สีที่พ่นใหม่ไม่ต่างจากสีเดิมมากนัก ก็นับว่าเป็นงานซ่อมสีที่ดีเยี่ยมแล้ว แต่ถ้าสีที่ซ่อมใหม่ แตกต่างจากสีเดิมมากจนเห็นได้ชัดก็แสดงว่าการผสมสีและ การพ่นของช่างซ่อมสี ยังไม่ประณีตเท่าที่ควร ซึ่งควรจะนำเข้าแก้ไขสีใหม่อีกครั้ง
ข้อสำคัญรถต้องสะอาดอยู่เสมอ การทำความสะอาดรถเป็นเรื่องที่เจ้าของรถควรให้ความเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะจะเป็นผลดีต่อสีรถด้วย วิธีทำความสะอาดความเริ่มจากการใช้ไม้ขนไก่หรือถ้าผ้าแห้งนุ่มๆ ปัดหรือเช็ดฝุ่นออกเบาๆ และผ้าที่ใช้จะต้องไม่มีความหยาบหรือมีของแข็งใดๆติดอยู่ หากปัดหรือเช็ดแล้วยังไม่สะอาดพอให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างรุนแรง เพราะอาจเกิดรอยขีดข่วนบนรถ การล้างต้องใช้น้ำสะอาดและจะต้องล้างให้สะอาดด้วย หากสามารถทำได้ควรฉีดน้ำล้างดิน โคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ใต้ท้องรถให้สะอาดทุกส่วนด้วย โดยปฏิบัติดังนี้
• ควรล้างบริเวณใต้ท้องรถและล้อก่อนโดยใช้แปรงอ่อนๆ ขัดขณะฉีดน้ำล้าง หรือจะใช้น้ำผสม สบู่ล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
• ล้างจากส่วนบนสุดของรถลงมา ไม่ควรใช้แปรงขัดเป็นอันขาด ให้ใช้ผ้านุ่มๆ ฟองน้ำหรือ หนังชามัวส์เท่านั้น เพราะอาจทำให้สีถลอกได้
• คราบสกปรกที่น้ำธรรมดาล้างไม่ออก ให้ใช้น้ำสบู่ล้างไม่ควรใช้ผงซักฟอกล้างรถ เมื่อคราบสกปรก ออกหมดแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำอีกครั้ง
• หลังจากล้างน้ำแล้ว ต้องเช็ดให้แห้งทันที การปล่อยให้น้ำแห้งเองจะเกิดเป็นคราบน้ำเป็นดวงๆ ติดอยู่บนรถตลอดทั้งคัน
• เมื่อล้างรถจนสะอาดดีแล้วอาจจะใช้สารเคมีเคลือบสีพวกครีมขี้ผึ้งขัดให้แลด้วยเงางาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2010, 08:59:29 » |
|
เปลี่ยนยางรถยนต์ สาเหตุทำให้ยางผิดปรกติ
การเปลี่ยนยางใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง
เมื่อต้องการเปลี่ยนยางใหม่ที่แตกต่างไปจากของเดิม ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. น้ำหนักสูงสุดที่ยางรับได้ ยางที่เปลี่ยนใหม่จะต้องสามารถรับภาระสูงสุดได้ไม่น้อยกว่ายางเดิม มิฉะนั้นอาจทำให้ยางระเบิดได้
2. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อรถ การเปลี่ยนยางที่ถูกต้อง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อไม่ควรแตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพราะจะทำให้ตัวเลขระยะทางและความเร็วที่มาตรวัดความเร็วรถยนต์แสดงผลไม่ตรงกับความเป็นจริง
3. ซีรีส์ของยาง การเปลี่ยนซีรีส์หรืออัตราส่วนความสูงของยางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่ ยางซีรีส์ต่ำ(มีการสะเทือนของรถน้อยกว่า)แต่ยางซีรีส์ต่ำจะยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางซีรีส์สูง
4. ดอกยาง ควรเลือกดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นผิวของถนนและลักษณะการใช้งาน เช่น เลือกใช้ดอกยางขนาดใหญ่เมื่อใช้กับถนนที่ขรุขระหรือที่เป็นดินโคลน หรือเลือกใช้ดอกยางแบบหมุนทิศทางเดียวกับรถที่ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง เป็นต้น
5. ความกว้างของหน้ายาง การเปลี่ยนความกว้างของหน้ายางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่รถยนต์ การใช้ยางที่มีความกว้างของหน้ายางมาก จะทำให้ยางยึดเกาะกับถนนได้ดี และการเบรกรถมีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากยางมีพื้นที่สัมผัสกับผิวถนนมาก แต่จะมีข้อเสีย คือ ทำให้พวงมาลัยหนักและใช้กำลังขับเคลื่อนมาก ส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
นอกจากนี้หากหน้ายางกว้างมากเกินไป ยางจะยื่นออกมานอกตัวรถเมื่อรถมีการยุบตัวยางจะมาชนกับตัวถังรถทำให้ยางชำรุดเสียหาย สำหรับการเปลี่ยนยางที่มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง ก็ส่งผลต่อการขับรถในทางตรงกันข้าม ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครเปลี่ยนยางให้มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง
สาเหตุที่ทำให้ยางสึกหรอผิดปกติ ตามปกติยางรถยนต์เมื่อใช้งานก็จะมีการสึกหรอไปทีละน้อย โดยการสึกหรอของดอกยางจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เท่ากันตลอด หน้ายางล้อที่ใช้เป็นล้อขับเคลื่อนรถจะมีการสึกหรอของดอกยางมากกว่าล้อที่รับน้ำหนักบรรทุกน้อย การสึกหรอของดอกยางในลักษณะที่ไม่เท่ากันตลอดหน้ายางจะถือว่าเป็นการสึกหรอที่ผิดปกติ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน หลายลักษณะ เช่น สึกมากบริเวรไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่ง สึกมากบริเวณไหล่ยางทั้งสองข้าง สึกมากเฉพาะตรงกลางหน้ายาง หรือสึกเป็นบั้งๆ โดยรอบด้านใดด้านหนึ่งของล้อ เป็นต้น
การสึกของยางที่ผิดปกติ มักจะเกิดจากสาเหตุสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. ยางอ่อนเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมต่ำเกินไป จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะบริเวณไหล่ยาง ซึ่งส่งผลให้ยางมีการสึกหรอมากตรงไหล่ยางทั้งสองข้าง
2. ยางแข็งเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมที่สูงเกินไปจะทำให้หน้ายางโป่งนูนสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะตรงกลางหน้ายาง
3. มุมล้อผิด การตั้งหมุนล้อผิดไปจากค่ากำหนด หรือมุมล้อคลาดเคลื่อนไปจากค่ากำหนดเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม จะทำให้ยางมีการสึกหรอมากบริเวณไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่งอย่างผิดปกติ
4. ชิ้นส่วนในระบบรองรับของรถยนต์ชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เมื่อชิ้นส่วนในระบบรองรับ เช่น โช้กอัพ(shock absorber)สำหรับกันสะเทือนเสียหรือเสื่อมสภาพ จะส่งผลให้ยางสึกหรอในลักษณะเป็นบั้งๆโดยรอบของล้อด้านใดด้านหนึ่ง
ยางมีอายุการใช้งานเท่าไร อายุการใช้งานของยางที่ไม่แน่นอนนั้น ไม่มีใครกำหนดได้ว่า สามารถใช้งานได้นานเท่าใด เนื่องจากอายุการใช้งานของยางจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความดันลม น้ำหนักบรรทุกของรถ สภาพของพื้นผิวถนนความเร็วของรถที่ใช้ การออกรถ การเบรกรถ ความถูกต้องของมุมล้อสภาพของชิ้นส่วนในระบบรองรับและอุณหภูมิของอากาศ เป็นต้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กุมภาพันธ์ 2010, 09:00:16 โดย E20VTU »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2010, 08:49:05 » |
|
อากาศร้อนมาแล้ว ควรดูแลรักษาหม้อน้ำ..(ระบบหล่อเย็น)
หม้อน้ำเป็นตัวช่วยระบายความร้อนในการทำงานของเรื่องยนต์ การระบายความร้อนรถยนต์โดย ทั่วไปจะใช้น้ำเป็นตัวระบายความร้อน จึงต้องมีการดูแลระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าขาดการดูแลแล้วจะทำให้เครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง และเครื่องยนต์อาจเสียหายได้
ถ้าหากรถยนต์ขาดระดับน้ำที่เหมาะสมจะมีสัญญาณเตือนบริเวณหน้าปัดของรถ ตรงบริเวณใกล้กับเรือนไมล์บอกความเร็ว จะมีเข็มบอกโดยใช้สัญลักษณ์เป็น C เท่ากับ Cool คือเย็น และ H เท่ากับ Hot คือ ร้อน ระดับความร้อนของเครื่องยนต์ต้องได้รับการเติมน้ำในระดับที่ถูต้อง เข็มวัดความร้อนอยู่ในระดับปานกลางระหว่าง C กับ H ระดับความร้อนของเครื่องยนต์ต้องได้รับการเติมน้ำในระดับที่ถูกต้อง เข็มวัดความร้อนอยู่ในระดับปานกลางระหว่าง C กับ H ถ้าขาดการดูแลระดับน้ำ ความร้อนจะขึ้นถึงตัว H หรือเลยขึ้นไป ถ้าอยู่ในระดับนี้อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ จึงต้องรีบหาน้ำเติมโดยเร็ว
น้ำใช้ในการเติมหม้อน้ำ ใช้น้ำธรรมดาที่ใสไม่มีตะกอน เช่น น้ำประปาทั่วไป ขอให้เป็นน้ำสะอาดเท่านั้น ระวังอันตราย ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะจะได้รับอันตรายจากไอน้ำที่พุ่งออกมา
ขั้นตอนการเติมน้ำในหม้อน้ำรถยนต์ การเติมน้ำในหม้อน้ำนั้นแบ่งได้ตามลักษณะของหม้อน้ำ คือ
1. หม้อน้ำที่ไม่มีหม้อพักน้ำสำรอง กรณีนี้จะเป็นรถรุ่นเก่า จะไม่มีหม้อพักน้ำสำรองให้เราดูระดับ น้ำก็ต้องเปิดฝาหม้อน้ำโดยตรง และดูว่าระดับน้ำในหม้อน้ำนั้นลดลงหรือไม่ ถ้าลดลงก็เติมน้ำลงไปให้เต็มพอปิดฝาหม้อน้ำได้ อย่าให้น้ำล้นออกมามาก ในกรณีนี้ต้องคอยเปิดดูระดับน้ำทุกวัน เพราะไม่มีหม้อพักน้ำสำรองให้
2. หม้อน้ำที่มีหม้อพักน้ำสำรองแต่ยังมีฝาปิดหม้อน้ำให้เติมอยู่ ระบบนี้เป็นระบบใช้กับรถรุ่นใหม่ กว่าข้อ 1 คือในส่วนของหม้อน้ำจะมีที่เก็บน้ำสำรองเป็นพลาสติกติดอยู่ข้างหม้อน้ำและมีสายต่อ โยงถึงกัน ในระบบนี้ถ้าจะเติมในหม้อน้ำ ต้องเติมให้หม้อน้ำเต็มตามระดับที่เหมาะสมเสียก่อน จึงเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำสำรอง การเติมน้ำในหม้อน้ำพักน้ำสำรองต้องเติมตามจำนวนที่เหมาะสม ห้ามเกินขีดที่กำหนดไว้ โดยจะกำหนดไว้คือ
MAX คือ จำนวนน้ำมากที่สุดอยู่ที่ระดับนี้ ห้ามเติมน้ำจนเกินระดับนี้โดยเด็ดขาด MIN คือ จำนวนน้ำมีน้อยต้องเติมให้อยู่ในระดับ MAX
หม้อน้ำที่มีห้องพักน้ำสำรองจะมีส่วนดีคือ น้ำที่เติมลงไปจะสุญเสียน้อย คือเมื่อได้รับความร้อน กลายเป็นไอ ก็จะถูกดันให้มารวมตัวเป็นหยดน้ำที่หม้อพักน้ำนี้ และเมื่อในหม้อพักน้ำนี้เครื่อง เย็นลงก็จะทำการระบายความร้อนต่อไป ถ้ารถมีหม้อน้ำสำรองก็สามารถช่วยประหยัดเวลาใน การดูแลระดับน้ำในหม้อน้ำได้ การตรวจเช็กระดับน้ำไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นประจำ อาจตรวจเช็กประมาณ 15-30 วันต่อครั้ง เมื่อระดับน้ำลดลงก็เติมน้ำลงไปให้เหมาะสม
3. หม้อน้ำที่มีหม้อพักน้ำสำรอง แต่ไม่มีฝาเติมน้ำโดยตรงจากหม้อน้ำ เป็นระบบใหม่ที่ใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ โดยการเติมน้ำในหม้อน้ำจะเติมได้ทางเดียวคือบริเวณหม้อ พักน้ำสำรองจะไม่มีการเติมผ่านหม้อน้ำโดยตรง การดูแลระดับน้ำนั้นเป็นวิธีเดียวกับการเติมน้ำในหม้อน้ำตามแบบที่ 2 แทนที่จะต้องเติมน้ำที่ หม้อน้ำด้วยก็ไม่ต้องเพราะสามารถเติมผ่านหม้อพักน้ำสำรองได้เลย การดูแลระดับน้ำก็เช่นกันไม่ต้องดูแลบ่อย ประมาณ 15-30 วันจึงค่อยตรวจเช็ก
ในเรื่องของน้ำยากันสนิมหม้อน้ำกับน้ำยาทำความเย็นหม้อน้ำเป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจว่า ต้องการหรือไม่ แต่ส่วนที่น่าสนใจคือ น้ำยากันสนิม เพราะภายในหม้อน้ำเป็นโลหะ ซึ่งสามารถเกิดสนิมได้ ถ้าเติมน้ำยากันสนิมอาจจะช่วยยืดอายุการใช้งานของหม้อน้ำและ เครื่องยนต์ได้ ส่วนใช้ยี่ห้ออะไรนั้นต้องตัดสินใจกันอีกที เพราะคุณภาพในการทำงานก็ใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันตรงที่ราคา
สำหรับการถ่ายน้ำในหม้อน้ำนั้นก็เป็นไปตามระยะเวลาในคู่มือรถที่ให้มา ถ้าไม่มีการเกิดสนิมการถ่ายน้ำก็ยืดเวลานานขึ้น แต่ถ้าเป็นสนิมก็ต้องเร็วขึ้นเช่นกัน
วิธีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ น้ำในระบบหล่อเย็นหรือในหม้อน้ำของรถยนต์ควรได้รับการเปลี่ยนถ่ายประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี ยกเว้นในกรณีที่เป็นสนิมควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อตรวจพบ โดยการเปิดก๊อกหม้อน้ำหรือท่อยางที่ก๊อก หม้อน้ำออก ควรเปิดฝาหม้อน้ำออกเพื่อช่วยให้น้ำถ่ายออกได้เร็วขึ้น เมื่อถ่ายน้ำหมดแล้วทำการปิดก๊อกแล้วเติมน้ำสะอาดลงไปจนเต็มตามอัตราหรือพิกัดที่บอกไว้ ควรเติมน้ำยากันสนิมลงไปเพื่อรักษาหม้อน้ำด้วย
หากพบว่าท่อยางของท่อน้ำชำรุดควรเปลี่ยนพร้อมกันไปด้วย เมื่อเสร็จแล้วต้องลองติดเครื่อง เช็กการไหลเวียนของน้ำว่าเป็นไปตามปรกติหรือไม่ ถ้าพบรอยรั่วหรือการรั่วซึมควรให้ช่างทำการแก้ไข
พัดลมและสายพาน สายพานของพัดลมจะทำหน้าที่หมุนปั๊มน้ำและเป่าลมไปยังหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อน หากสายพานขาดจะทำให้พัดลมไม่หมุนและน้ำมีความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจึงควรตรวจสอบสายพานอยู่เสมอ และหากพบว่าเก่าหรือชำรุดให้รีบเปลี่ยนทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจจะไปขาดกลางทางหรือขณะใช้รถอยู่ ถ้าหากพบว่าสายพานขาด ขณะใช้รถและหม้อน้ำมีความร้อนขึ้นสูง ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำเพื่อเติมน้ำอย่างเด็ดขาด
เพราะไอร้อนจะพุ่งกระจายออกมาเป็นอันตรายจนถึงขั้นเสียโฉมได้ ควรรอให้เครื่องเย็นเสียก่อน และที่สำคัญควรมีสายพานสำรองเอาไว้ในรถเพื่อใช้เปลี่ยน
การตรวจสอบพัดลมและสายพานต้องระวังเรื่องระบบไฟฟ้า เพราะปรกติจะมีสวิตช์อัตโนมัติควบคุมให้พัดลมหมุน และดับเองเมื่อหม้อน้ำร้อนและเย็น ต้องดับสวิตช์เครื่องยนต์ก่อนทำการตรวจสอบสายพานและพัดลม
ข้อควรระวัง อย่าใช้สายพานเก่าหรือชำรุดที่ตรวจพบ อย่าปล่อยให้สายพานตึงหรือหย่อนเกินไป เมื่อตรวจพบควรให้ช่างช่วยแก้ไข อย่าให้มีน้ำมันหรือสิ่งหล่อลื่นติดสายพาน เพราะจะทำให้ลื่นและหลุดออกหรือขาด อย่าใช้สายพานผิดขนาด
ข้อควรทราบทั่วไปเกี่ยวกับระบบหล่อเย็น ถ้าเกจวัดความร้อนขึ้นถึงขัด H หรือสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องรีบขับรถเข้าจอดข้างทางอย่าฝืนขับต่อไป
อย่าเปิดหม้อน้ำในขณะที่เครื่องร้อนเป็นอันขาด เพราะจะได้รับอันตรายจากไอนี้ที่พุ่งออกมา ควรรอให้เครื่องเย็นเสียก่อน
อย่าใช้น้ำสกปรกเติมหม้อน้ำ เพราะจะทำให้เกิดการอุดตัน
ถ้าพบว่าน้ำในหม้อน้ำแห้งเร็วผิดปรกติ ต้องตรวจหา รอยรั่วหรืออาการรั่วและให้ช่างรีบแก้ไข
หมั่นสังเกตเกจวัดความร้อนอยู่เสมอขณะขับขี่ ต้องตรวจหารอยรั่วหรืออาการรั่ว และให้ช่างรีบแก้ไข
ความรู้เกี่ยวกับเทอร์โมสตัท (ของระบบหล่อเย็น) เทอร์โมสตัท ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ เป็นวาล์วหรือสวิตช์ทำหน้าที่ เปิด-ปิดน้ำไปหล่อลื่นเครื่องยนต์เมื่อมีความร้อน ถ้าเทอร์โมสตัทชำรุดหรือวาล์วเปิด-ปิด ค้าง ความร้อนของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องเปลี่ยนหรือทำการแก้ไข
ถ้าความร้อนของเครื่องยนต์อุ่นขึ้นหลังจากติดเครื่องทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แสดงว่าเทอร์โมสตัท เป็นปรกติ แต่ถ้าร้อนขึ้นอย่างช้าๆ แสดงว่าวาล์วเปิดค้าง หรือไม่มีการตัดตามปรกติ
การตรวจสอบหรือแก้ไขเทอร์โมสตัทควรเป็นหน้าที่ของผู้ชำนาญหรือช่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2010, 09:14:20 » |
|
ความหมายของสีทะเบียนรถ 1. รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน รถยนต์รับจ้างสามล้อ รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ได้แก่ รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่ใช้รับจ้างระหว่างจังหวัด โดยรับส่งคนโดยสารได้เฉพาะที่นายทะเบียนกำหนด
- พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเหลืองสะท้อนแสง - ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น สีแดง สำหรับรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด สีดำ สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์ สีเขียว สำหรับรถยนต์รับจ้างสามล้อ สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง
2. รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า
รถยนต์บริการธุรกิจ เช่น รถที่ใช้ขนคนในสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟ และรถโรงแรม รถยนต์บริการทัศนาจร เช่น รถนำเที่ยวของบริษัททัวร์ โดยรถพวกนี้ - พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง - ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็นสีขาว
3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ พวกรถส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเก๋ง รถตู้ รถกระบะ มอไซค์ รถ MPV หรือรถ SUV โดย - พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาวสะท้อนแสง - ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น สีดำุ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์ สีน้ำเงินุ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน สีเขียว ุสำหรับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล สีแดง ุสำหรับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
หมายเหตุ จะมีแผ่นป้ายทะเบียนชนิดพิเศษ พวกเลขสวย โดยจะเป็นป้ายที่ออกให้ประมูล ซึ่งจะมีสีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียน หมายเลขทะเบียน และตัวอักษรต่างไปจากแผ่นป้ายทะเบียนปกติ และแต่ละจังหวัด สีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียนก็จะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก (ยกเว้นรถสามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ ไม่มีป้ายพิเศษนี้)
4. รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม - พื้นแผ่นป้ายเป็นสีส้มสะท้อนแสง - ตัวอักษร หมายเลข และขอบป้ายเป็นสีดำ
5. รถยนต์ของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต และรถจักรยานยนต์ของคณะผู้แทนทาง การทูต พวกรถทูต ลักษณะป้ายจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ท ตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วก็เลขทะเบียน ตัวอย่างเช่น รถทูตญี่ปุ่นก็จะเป็น ท 44 - 9999 - พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาว (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง) - ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีดำ
6. รถยนต์ของบุคคลในหน่วยงานพิเศษของสถานทูต ในคณะผู้แทนทางกงสุล ในองค์การระหว่างประเทศ หรือทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย และรถจักรยานยนต์ของบุคคลข้างต้น
ลักษณะป้ายก็เหมือนรถทูต แต่ต่างกันตรงที่ รถในหน่วยงานพิเศษของสถานทูตจะใช้ ตัวอักษร พ ส่วนรถกงสุลจะใช้ตัวอักษร ก ส่วนรถของสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ในไทย จะใช้ตัวอักษร อ และ - พื้นแผ่นป้ายเป็นสีฟ้า (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง) - ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีขาว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ. 2547.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 24 มีนาคม 2010, 10:32:58 » |
|
คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ ปัจจุบันนี้ผู้ขับรถรุ่นใหม่ทั้งหลายนิยมขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยความสะดวกและง่ายในการ ควบคุมรถ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยนิยมขับเกียร์ธรรมดาเพราะขับสนุกกว่าหลายเท่า
แต่ทั้งนี้จะต้องเหยียบคลัทซ์ควบคู่ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการเบารถ เหยียบเบรก เลี้ยวรถ แถมบางคนยังได้รับการบอกต่อๆกันมาว่าถ้ากลัวเครื่องยนต์ดับก็ให้เยียบคลัทซ์ไว้
ในการไปสอบใบขับขี่จากทางราชการก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะไม่ดูพฤติกรรมการขับรถของผู้เข้าทดสอบใน เรื่องการใช้คลัทซ์เลย ความจริงแล้ว"คลัทซ์"นั้นคือมหันตภัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่หลวง หากผู้ขับใช้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป การเหยียบคลัทซ์แล้วปล่อยให้รถวิ่งไปมีค่าเท่ากับปล่อยเกียร์ว่าง เช่นเดียวกับที่เรียกว่า "Coasting" ในการสอบใบขับขี่สำหรับประเทศที่มาตรฐานสูงอย่างประเทศอังกฤษจะให้ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ สอบตกทันที
จากเกียร์ไปยังล้อรถยนต์ ขณะที่รถวิ่งและยังอยู่ในเกียร์แรงฉุดจากเครื่องยนต์จะถ่ายทอดกำลังไปกดที่ล้อรถ เพื่อช่วยให้ล้อเกาะติดกับพื้นถนน ดังนั้นในเมื่อขับรถอยู่ หากผู้ขับไปเหยียบคลัทซ์เข้าไม่ว่าจะเป็นจากความเคยชิน หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำให้แรงกดถนนจากเครื่องยนต์ถูกตัดขาดไป รถจะไม่เกาะถนน หากถนนลื่นหรือมีการหักเลี้ยว รถจะหมุนโดยทันที
โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยชินกับการเบรกพร้อมกับเหยียบคลัทซ์ไปด้วยจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น เพราะแรงฉุดจากเครื่องยนต์ได้ถูกตัดขาดไป การเบรกก็จะยากขึ้นอีกเท่าตัว
อุบัติเหตุทางรถยนต์ทุกวันนี้สาเหตุหนึ่งก็คือ การใช้คลัทซ์เกินความจำเป็นนั่นเอง อาทิ จะเบรกก็เหยียบคลัทซ์ รถขึ้นเขา-เลี้ยงคัลทซ์ สิ่งเหล่านี้เรียกนี้ว่า "Coasting" จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ใช้รถลองเปลี่ยนอุปนิสัยการใช้คลัทซ์ใหม่ อย่างเช่น ลองเหยียบคลัทซ์ต่อเมื่อเปลี่ยนเกียร์หรือ ขับช้าเพื่อเข้าที่แคบๆเท่านั้นเอง หรืออีกแบบขณะที่ขับรถมามีเหตุให้ต้องเบารถก็เพียงแค่ยกคันเร่งรถก็จะเบาลง หากยกคันเร่งแล้วความเร็วยังไม่ลดตามที่ต้องการก็ใช้เท้าขวาแตะเบรกเบาๆแต่ห้ามไปเหยียบคลัทซ์เป็นอันขาด
หากจำเป็นจะต้องหยุดรถโดยทันทีให้เหยียบเบรกลงไปอย่างแรงและไม่ต้องเหยียบคลัทซ์จนรถหยุดเกือบสนิทแล้ว จึงเหยียบคลัทซ์พร้อมกับปลดเกียร์ว่าง ซึ่งการฝึกแบบนี้จะช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้นไม่ปัดซ้ายขวาถึงแม้ถนนลื่น อย่างไรก็ตามควรระวังเท้าซ้ายเพราะเป็นเท้าที่เหยียบคลัทซ์เมื่อรถออกตัวเต็มที่ให้เอาเท้าซ้ายวางไว้ที่พื้น ไม่ต้องไปเหยียบคลัทซ์
พฤติกรรมแบบนี้ผู้ขับจะต้องฝึกบ่อยๆและสลัดของเก่าๆที่เคยชินออกไปเมื่อนั้นก็จะเป็นนักขับที่ถูกต้องลดอันตราย ลงไปมาก เห็นไหมครับว่าคลัทซ์นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษเท่าๆกัน เพียงแต่เราต้องใช้ให้ถูกวิธืเท่านั้นเอง...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jack@AE
AE Thailand Club Member
Junior
หอย..มันเล็ก..ค่อยๆไปนะลูก
กำลังใจ: 127
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 465
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 24 มีนาคม 2010, 23:43:26 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Ku-Jub-92@SBA#01
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 101
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 2,399
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 25 มีนาคม 2010, 01:47:02 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
อยู่หรือไม่อยู่จะมีค่าไรแล้วจะอยู่หาพี่อาทำไมวะ
|
|
|
|
!!ลุงเชษฐ@สระบุรี!!
Moderator
High Super Senior
กำลังใจ: 420
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE-101
รหัสเครื่องยนต์: 4E-โบ
อุปกรณ์แต่งรถ: สีขาว ๆ
สังกัดพื้นที่: AE SARABURI
ที่อยู่: ร้าน อมยิ้ม AUTO SHOP
กระทู้: 2,754
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 02 เมษายน 2010, 09:01:35 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TON WIHARN DAENG ZONE
Senior
"Think, Believe, Dream, and Dare."
กำลังใจ: 288
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 824
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2010, 17:10:36 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
กำลังใจ: 317
ออฟไลน์
เพศ:
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2011, 08:59:11 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|