Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /home/aethail1/domains/aethailand.com/public_html/forum/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3
ความรู้เกี่ยวกับรถ
*ShoutBox
หน้า: [1] 2   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ความรู้เกี่ยวกับรถ  (อ่าน 20252 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 08:55:09 »

มีหลายเรื่องจะนำมาลงให้เรื่อยๆๆครับ

เกร็ดควรรู้ในการดูแลรถให้ดูใหม่เสมอ

คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจซื้อรถด้วยเหตุผลของราคา ประโยชน์ใช้สอยและอัตราการกินน้ำมันของเครื่องยนต์
น้อยคนที่จะนึกถึงการบำรุงรักษาเครื่องยนต์หลังจากได้เป็นเจ้าของรถแล้ว
ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถควรทราบและคำนึงถึง วันนี้จึงมีข้อควรปฏิบัติสำหรับเจ้าของรถ
เพื่อยืดอายุการใช้งานพาหนะคู่ใจ และการบำรุงรักษาให้เหมือนใหม่เสมอ ดังนี้

 ปฏิบัติตามคู่มือการใช้รถยนต์ที่ให้มาตอนซื้อรถ
ถ้ามีตารางการซ่อมบำรุงก็ใช้เป็นแนวทางในการตรวจเช็ครถ
แต่ควรตรวจเช็คในคู่มืออีกทีว่าถึงเวลาเปลี่ยนอะไหล่เมื่อไหร่

 อย่าลืมเปลี่ยนสายพานเมื่อรถวิ่งได้ทุกๆ 60,000 – 90,000 ไมล์
การเปลี่ยนสายพานราคาอาจจะสูงสักหน่อย แต่ก็ถูกกว่าค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหากสายพานขาด

 หยอดกระปุกไว้สำหรับการซ่อมบำรุงรถ
เพราะในแต่ละปีคุณควรจะมีงบในการบำรุงรักษารถ 5,000 – 20,000 บาท แล้วแต่อายุการใช้งาน
ถ้ามีการสะสมงบเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับรถ ก็จะไม่กระทบกับการเงินของคุณ

 หาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นที่คุณใช้
รถทุกรุ่นมักจะมีเว็บไซต์ของตัวเอง บอกข้อมูล และปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเวลาใช้งาน
คุณจะได้มีความพร้อมที่รับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถของคุณ

 เวลาขับขี่คอยสังเกตว่ามีเสียง หรือกลิ่นที่ผิดไปจากปกติเกิดขึ้นหรือไม่
ถ้ามีควรปรึกษาช่างเพื่อหาสาเหตุ ผู้ใช้รถเป็นประจำเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเมื่อรถเกิดอาการผิดปกติ

 เมื่อเกิดความเสียหายกับรถให้ซ่อมทันที แม้ว่าจะเป็นความเสียหายเล็กน้อย
อาทิ เบาะที่นั่งขาด หรือสายไฟหลุด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น หรือสร้างความรำคาญให้กับคุณเอง

 ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ
หากมีงบประมาณจำกัดไม่สามารถซื้ออะไหล่แท้ควรปรึกษาช่างเพื่อหาทางเลือก
การซื้ออะไหล่แท้มือสองก็เป็นอีกทางที่จะได้ของคุณภาพในราคาย่อมเยา

 ทำความสะอาดรถอย่างสม่ำเสมอ
สีรถนอกจากจะช่วยให้รถดูดี ยังเป็นการปกป้องวัสดุข้างในด้วย
ควรล้างรถเป็นประจำ ถ้าน้ำเริ่มไม่เกาะเป็นหยดๆ บนสีรถ ให้ลงแว็กเคลือบสี

 ควรขับรถอย่างนิ่มนวล แม้ว่าการขับรถด้วยความเร็วสูงบ้างในบางครั้ง
จะช่วยให้เครื่องยนต์มีความคล่องตัว แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่งจนมิด หรือขับรถโดยใช้ความเร็วสูงตลอด
เพราะไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์

เท่านี้คุณก็ยิ้มได้อย่างภูมิใจเมื่อมีคนพูดอย่างชื่นชมว่ารถคุณยังดูใหม่แม้ว่าจะวิ่งได้ 150,000 ไมล์ แล้ว

บันทึกการเข้า
satangza@SBA#02
AE Thailand Club Member
Junior
*****



กำลังใจ: 75
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: ee101
รหัสเครื่องยนต์: 4e-fe
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่งบประมาณที่ได้มา
สังกัดพื้นที่: Rangsit
ที่อยู่: Saraburi
กระทู้: 437


« ตอบ #1 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 11:28:29 »

 ส่งจูบ
บันทึกการเข้า

toonAE92
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****


"ลูกชายคนแรกคิดถึงวุ้ย"

กำลังใจ: 290
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,562


« ตอบ #2 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 14:47:45 »

 สุดยอด สุดยอด
บันทึกการเข้า

ton_ee80@SBA#05
AE Thailand Club Staff
High Super Senior
*


คนต้องแรงกว่ารถ

กำลังใจ: 589
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: ee 80
รหัสเครื่องยนต์: 4E-FTE 04L
อุปกรณ์แต่งรถ: OTOP & DIY
สังกัดพื้นที่: ภาคกลาง
ที่อยู่: เสาไห้ สระบุรี
กระทู้: 2,655


« ตอบ #3 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 20:00:48 »

 สุดยอด สุดยอด ขอบคุณ ขอบคุณ
บันทึกการเข้า


087-116-7979 เปิดใจให้กว้างแล้วทุกอย่างมันจะสนุกไปเอง
RKH06
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 125
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,348


« ตอบ #4 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 20:25:23 »

 สุดยอด สุดยอด
บันทึกการเข้า
TOEY@SBA#12
AE Thailand Club Member
Super Senior
*****



กำลังใจ: 181
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,249


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2009, 22:54:58 »

 สุดยอด สุดยอด
บันทึกการเข้า


E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #6 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2009, 09:35:11 »

เกียร์มีเสียงดัง
เสียงดังที่เกิดจากตัวเกียร์ จากประสบการณ์ก็แยกออกได้เป็นสามเสียง
เสียงแรก จะเกิดจากนอกห้องเกียร์ เป็นเสียงแตกเสียงคราง หรือเสียงหอน
เกิดจากชิ้นส่วนที่ช่างมักเรียกกันว่า ลูกปืนปลายเกียร์สี่ หรือ ลูกปืนฟลายวีล (Pivot bearing)
เป็นลูกปืนที่ฝังอยู่กับฟลายวีล โดยมีเพลาของปลายเกียร์สี่ (Input shaft) สอดแน่นอยู่ในนั้นตลอดเวลา
ลูกปืนจะหมุนตลอดเวลาที่เครื่องยนต์หมุน

ความร้อนที่เกิดขึ้น การเสียดสีของเหล็ก (ลูกปืน) กับ เสื้อลูกปืน ตลอดเวลา
ทำให้ลูกปืน และเสื้อสึกหรอ เกิดเสียงดัง นานเข้าก็จะได้ยินมาถึงห้องโดยสาร

วิธีการแก้ไขมีทางเดียว คือ เปลี่ยนลูกปืน อาการก็จะหายขาด
ส่วนวิธีป้องกันมีทางเดียว คือ ทุกครั้งที่ยกเกียร์ออกเปลี่ยนชุดผ้าคลัตช์ก็เปลี่ยนลูกปืนนี้ไปพร้อมกัน
เสียงดังจากลูกปืนปลายเกียร์สี่ก็จะไม่มีให้ได้ยิน

การรอให้ลูกปืนแตกชำรุดแล้วเปลี่ยนเฉพาะลูกปืน ไม่คุ้มกับเงินที่ต้องจ่าย
เพราะค่าแรงที่เปลี่ยนลูกปืนนี้ เท่ากับค่าแรงที่ยกคลัตช์ ถ้าทำไปพร้อมกันค่าแรงก็ เท่ากับที่ยกคลัตช์เท่านั้น


เสียงหอนจากเกียร์ที่เกียร์ใดเกียร์หนึ่ง
เสียงนี้เป็นเสียงที่แก้ไขได้ยากและต้องเสียเงินเสียทองกันมาก
เช่น เสียง เกียร์สามหอน ในขณะเร่งเครื่องลากเกียร์ เพื่อจะเปลี่ยนเป็นเกียร์สี่
อาการนี้มักจะเกิดจากการสึกหรอ ที่เรียกว่า เป็นตามดในลูกปืนของชุดเกียร์ทั้งราว
หรือเกิดจากการสึกหรอที่เฟืองเกียร์จนเป็นตามดของชุดเฟืองเกียร์สาม

ทางแก้มีวิธีเดียว คือ
การยกเกียร์ผ่าเกียร์ ออกมาตรวจดูการสึกหรอ (ตามด,ไหม้)ของลูกปืนเกียร์และเฟืองเกียร์
จะมีค่าใช้จ่ายสูงและยากที่จะแก้ไขได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
นอกจากเปลี่ยนลูกปืนในห้องเกียร์ รวมทั้งเฟืองเกียร์ทั้งหมด
ทางเลือกที่ดีที่สุด น่าจะเป็นการหาเกียร์มือสอง จากเซียงกงมาเปลี่ยน

การป้องกันการสึกหรอในแบบนี้ก็คือ การหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ (ตามหนังสือคู่มือ)
เลือกใช้น้ำมันเกียร์ในเกรดหรือชนิดที่ถูกต้องที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเอาไว้
และเปลี่ยนพฤติกรรมการขับที่จะลากเกียร์ที่เกียร์ใดเกียร์หนึ่งนานๆ
พร้อมทั้งตรวจระดับน้ำมันเกียร์ และท่อหายใจของเสื้อเกียร์อย่างสม่ำเสมอ



เกียร์มีเสียงคราง หรือพูดกันทั่วไปว่าเกียร์ดัง
เสียงเกียร์ครางจะเกิดขึ้นจากการติดเครื่องเข้าเกียร์ว่างแล้วจะได้ยินเสียงเกียร์ดัง (เฟืองเกียร์สองเฟืองกระทบกัน)
และเสียงนี้จะหายไปเมื่อกดหรือเหยียบแป้นคลัตช์เพียงเบาๆ
ต้องมาเข้าใจกันก่อนว่า เมื่อเครื่องยนต์ติดเครื่องและอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างชุดคลัตช์ (ผ้าคลัตช์ หวีคลัตช์)
ที่เกาะอยู่กับฟลายวีลจะหมุนตามการหมุนของฟลายวีล (เครื่องยนต์) ตลอดเวลา(คลัตช์จับ)
พร้อมๆ กับเฟืองปลายเกียร์สี่ (Input shaft) ทีจะมีเฟืองตัวหนึ่งไปขบกับเฟืองชุดเพลารอง (Counter shaft)
ทำให้ชุดเฟืองของเพลารองหมุนตามเครื่องอยู่ตลอดเวลา การหมุนตามเครื่องของเฟืองเกียร์สี่และเพลารอง
ทำให้มีเฟืองตัวอื่นๆ หมุนตามด้วยแม้จะอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง การขบกันของเฟืองแต่ละคู่
แม้จะเป็นเพียงการหมุนตามกันก็ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นได้ (เหล็กกับเหล็กกระทบกัน)

ในระหว่างเฟืองสองเฟืองที่ขบกันอยู่นี้ จะมีช่องว่างที่เรียกว่า แบกแลช (Backlash) เป็นระยะเศษเสี้ยวของ
พันมิลลิเมตร เพื่อให้มีช่องทางที่น้ำมันเกียร์จะระบายความร้อนและหล่อลื่นเฟืองเกียร์นั้นๆ
เสียงครางจะดังมากดังน้อย ขึ้นอยู่กับความห่างระหว่างเฟืองทั้งสองตัวห่างมากก็ดังมาก ห่างน้อยก็ดังน้อย
และถ้าชิดเกินไปเฟืองก็จะไหม้

การพิจารณาแก้ไขปัญหานี้ นอกจากจะมองถึงระยะห่างของร่องเฟืองแล้ว
ยังต้องมองถึงระยะชิดกันของเฟืองต่อเฟือง (End play) ที่อยู่ในแถวเดียวกันด้วย ในหลายๆ กรณีที่ระยะห่างของ
เฟืองต่อเฟือง ที่ขบกันจะมีระยะห่างที่พอดีหรือเหมาะสมตามที่ผู้ผลิตได้กำหนดหรือออกแบบไว้แล้ว
แต่ระยะชิดกันของเฟืองต่อเฟืองถ้าพลาดไปจากที่ถูกออกแบบไว้ (เศษของพันมิลลิเมตร)
ก็จะทำให้เฟืองเบียดกันส่งผลถึงการขบกันระหว่างที่ผิดไป เสียงดังก็จะเกิดขึ้นมีมากมาย

หลายคำถามที่บอกว่า แล้วชุดคลัตช์มาเกี่ยวด้วยอย่างไร
เพราะเมื่อแตะ กด เหยียบคลัตช์เพียงเบาๆ เสียงที่ได้ยินก็เงียบหายไป
คำตอบมีอยู่ว่า ทันทีที่เท้ากดไปบนแป้นคลัตช์ ลูกปืนคลัตช์ในหัวหมูเกียร์จะวิ่งไปกดแผ่นกดคลัตช์
ทำให้ผ้าคลัตช์ถอยห่างจากฟลายวีล กำลังงานจากเครื่องยนต์ก็จะหยุดอยู่ที่ฟลายวีลเท่านั้น
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียกว่า คลัตช์จาก เมื่อคลัตช์จากเฟืองเกียร์สี่ไม่หมุน ชุดเพลารองไม่หมุนตาม
ทุกส่วนในห้องเกียร์หยุดการเคลื่อนไหว เสียงที่ได้ยิน (เหล็กกับเหล็กกระทบกัน)
จึงไม่มี เกียร์ครางเมื่อเกียร์ว่าง เกิดขึ้นได้กับทั้งรถใหม่และรถเก่า
ถ้าเป็นรถเก่าเฟืองเกียร์สึกหรอ ระยะชิดของเฟืองในแถวจะห่างกัน แก้ไขโดยการเปลี่ยนเฟืองเกียร์หรือ
ปรับตั้งทั้งระยะห่างและระยะชิด รถใหม่ (ไม่ถึงหกหมื่นกิโลเมตร)
ผ่าเกียร์ตรวจสอบระยะห่างแบกแลชและระยะชิด (End play) แล้วปรับตั้งใหม่
หรือออกแบบเฟืองเกียร์ ปรับปรุงวัสดุ กันใหม่ แน่นอนครับที่ผู้ผลิต (รถใหม่) ยากที่จะยอมรับความจริงในข้อนี้
บันทึกการเข้า
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #7 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2009, 08:55:44 »

กลวิธีเดินทางให้เซฟน้ำมัน
1) ทุกๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของความเร็วของรถยนต์ที่เพิ่มมากกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จะทำให้รถยนต์คันนั้นสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เช่น หากเราขับรถด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่าจุดที่เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดอยู่ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เทียบกับการขับรถด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การที่ทุกคนขับรถเร็วสูงกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลดความเร็วลง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ประเทศและเจ้าของรถยนต์ที่ลดความเร็วลงนั้น จะประหยัดน้ำมันลงได้ร้อยละ 10 ทันที ไม่มีการลงทุน
ไม่ต้องรอเวลา 5 ปี เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน 5 ล้านไร่ เพื่อมาผลิตไบโอดีเซลที่ทดแทนน้ำมันได้ร้อยละ 10 เท่ากัน

 2) ส่วนเจ้าของรถทำได้ทันทีคือการเอาน้ำหนักบรรทุกที่ไม่จำเป็นออก
โดยเฉพาะที่อยู่นอกตัวรถ เช่น ตะแกรงบรรทุกของบนหลังคารถ
การใส่ตะแกรงบนหลังคารถโดยไม่มีการบรรทุกสิ่งของ จะเป็นการเพิ่มแรงเสียดทานของลม
ทำให้เสียน้ำมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ร้อยละ 10-15 หากต้องการบรรทุกของควรบรรทุกภายในรถ ส่วนสิ่งของที่
ไม่จำเป็นไม่ควรบรรทุกไว้ในรถ เพราะจะเป็นการเพิ่มแรงเสียดทานให้กับล้อรถ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น

 3) ส่วนที่จะทำให้ประเทศชาติและคุณประหยัดทั้งเงินและพลังงานเป็นจำนวนมหาศาล คือ
การใช้รถสาธารณะหรือคาร์พูล การไปไหนมาไหนด้วยกัน
นอกจากจะเป็นการประหยัดโดยการแชร์ค่าโดยสารแล้ว ยังจะทำให้ถนนมีจำนวนรถน้อยลง ปัญหาจราจรติดขัด
ปัญหาอากาศเป็นพิษในเมือง และปัญหาโลกร้อนด้วย
การที่เจ้าของรถหนึ่งคนไปทำงานโดยคาร์พูลหนึ่งวันต่อสัปดาห์ ทำให้เขาผู้นั้นลดการใช้น้ำมันลงได้ร้อยละ 20
และลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันลงได้ร้อยละ 20 ด้วย
การวางแผนการเดินทางที่ดีทำให้ไม่หลงทาง หรือไปติดอยู่บนถนนโดยไม่จำเป็น
หรือการไม่ติดต่อนัดแนะกับผู้ที่จะเดินทางไปหาอย่างดี อาจเสียเที่ยวในการเดินทาง เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดย
เปล่าประโยชน์อีกด้วย การรวบกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมในการใช้รถแต่ละครั้งจะลดการใช้น้ำมันและค่าใช้จ่ายได้

 4) การซื้อรถยนต์คันต่อไปควรซื้อรถที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา
จะประหยัดน้ำมันกว่ารถขนาดใหญ่และหนัก เมื่อเปรียบเทียบรถยนต์ที่มีขนาดของเครื่องยนต์ใกล้เคียงกัน
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลจะมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน
ส่วนผู้ที่ซื้อรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อใช้ในเมือง ควรเดินทางระหว่างเมืองหรือเดินทางระยะไกลด้วยรถสาธารณะ
หรือเช่ารถที่เหมาะสม เป็นครั้งเป็นคราวไป

ทำเท่านี้ก็ "อยู่ได้อย่างดี ไม่ต้องมีน้ำมัน" จริงหรือไม่จริง

การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป
รถยนต์ไฮบริดจ์ เป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเดินเครื่องอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนแบตเตอรี่ใน
การขับเคลื่อน เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่เหยียบเบรกหรือลงจากเนินสูง
พลังงานที่ได้จากการเบรกหรือรถที่ไหลลงจากที่สูงจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ขับเคลื่อนต่อไป

ขณะที่รถจอดบนถนนจราจรติดขัด เครื่องยนต์จะดับโดยอัตโนมัติ แล้วใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทน
เพื่อลดมลพิษในอากาศจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ รถไฮบริดจ์ยังมีราคาแพงมากในปัจจุบัน
แต่เมื่อเป็นที่นิยมของตลาดมีการผลิตมากขึ้น ราคาจะถูกลงในอนาคต
เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดที่ได้รับการพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูงกว่าในอดีตมาก

และนั่นสมควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้านการยกเว้นภาษี
เพื่อลดต้นทุนการผลิตและราคาขาย เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
บันทึกการเข้า
satangza@SBA#02
AE Thailand Club Member
Junior
*****



กำลังใจ: 75
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: ee101
รหัสเครื่องยนต์: 4e-fe
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่งบประมาณที่ได้มา
สังกัดพื้นที่: Rangsit
ที่อยู่: Saraburi
กระทู้: 437


« ตอบ #8 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2009, 10:33:23 »

 ส่งจูบ
บันทึกการเข้า

E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #9 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2009, 11:13:10 »

ส่งจูบ
กดกำลังใจด้วยเด่ะ  สูบบุหรี่
บันทึกการเข้า
jack@AE
AE Thailand Club Member
Junior
*****


หอย..มันเล็ก..ค่อยๆไปนะลูก

กำลังใจ: 127
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 465


« ตอบ #10 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2009, 18:51:31 »

 สุดยอด+1
บันทึกการเข้า

E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #11 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2009, 08:40:13 »

กฎจราจรที่คนไทยละเลย
กฎจราจรมีไว้เพื่อให้ทุกคน สามารถใช้ถนนสาธารณะร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบและปลอดภัย
ในแต่ละประเทศมีกฎจราจรพื้นฐานคล้ายกัน แต่ต่างกันที่รายละเอียดและความเข้มงวดในการ
ปฏิบัติ บทความนี้รวบรวมกฎจราจรของไทยหรือ ลักษณะการขับรถยนต์ ที่คนไทยละเลย
ไม่ปฏิบัติตาม จนกลายเป็นเรื่องปกติ หรือถ้าใครเคร่งครัด ก็อาจจะถูกด่าหรือชนได้
ทั้งหมดเป็นเพียงการรวบรวมให้ทราบ แต่คงยากที่จะชักจูงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ตราบใดที่ยังมีสินบน! หลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับ

ขับช้าชิดซ้าย
ไม่ได้พบแต่ตามถนนโล่งต่างจังหวัดเท่านั้น บนทางด่วนหรือทางลอยฟ้าในกรุงเทพฯ
ก็พบได้บ่อยๆเพราะคำว่าช้า และมีกฎหมายจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ จึงทำให้หลายคนคิดว่า
เมื่อไรที่รู้สึกด้วยตัวเองว่าเร็วแล้ว หรือขับเกินความเร็วที่กฎหมายจำกัดไว้ ก็จะขับแช่อยู่ในเลน
ขวาได้ เพราะในเมื่อไม่ได้คิดว่าขับช้า ก็ไม่ต้องชิดซ้าย

วิธีที่ถูกต้อง คือ แซงแล้วต้องชิดซ้าย เลนขวามีไว้แซงเท่านั้น หรือราชการควรเปลี่ยนประโยค
ใหม่เพิ่มคำว่า "กว่า"เข้าไปจากขับช้าชิดซ้าย เปลี่ยนประโยคเป็นขับช้ากว่าชิดซ้าย
คือ ไม่ว่าจะขับด้วยความเร็วเท่าใดในเลนขวา ถ้ามีรถยนต์ ที่ตามมาขับเร็วกว่า ก็ต้องหลบซ้าย
ให้ไม่ต้องทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตัดสินผู้อื่นว่า หากตนเองขับเร็วตามกฎหมายแล้วไม่ต้อง
หลบให้ใคร แนะนำว่าไม่ต้องคิดเช่นนั้น เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเรา หากมีรถยนต์ที่เร็วกว่า
็ควรหลบเข้าเลนซ้ายให้ ถึงแม้เลนซ้ายในช่วงนั้นจะขรุขระบ้าง แต่ถ้าไม่ถึงกับแย่จนทนขับไม่ได้
ก็ควรหลบเข้าเลนซ้ายชั่วคราว พอถูกแซงผ่านไปและว่างก็ค่อยกลับมาเลนขวา


ขับเร็วเกินกำหนด
กฎหมายไทยจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ต่ำ คือ 90-120 กม./ชม.แล้วแต่ว่าจะเป็นถนนใด
ถ้าเป็นถนนหลวงใช้ฟรี มักถูกจำกัดแค่ 90 กม./ชม.คนส่วนใหญ่มองว่ากฎหมายล้าหลัง
ไม่ปรับปรุงตามสมรรถนะของรถยนต์ และบนถนนจริง ในการเดินทางไกล
ก็แทบไม่มีใครทนขับช้าอย่างนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเรียกจับก็โดนกันเกือบทุกคัน
นับเป็นเรื่องที่หวานอมขมกลืน เพราะยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้
ซึ่งก็ดีในแง่หนึ่งที่จะได้ความปลอดภัย
เพราะคนไทยหลายสิบเปอร์เซ็นต์ขับรถยนต์โดยมีพื้นฐานที่ไม่ดี
ยิ่งเร็วก็ยิ่งอันตราย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เท่ากับเป็นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ใครจะไปทนขับเป็นเต่า 90 กม./ชม. แม้แต่ข้าราชการ นักการเมืองใหญ่ๆ
ก็ยังไม่เห็นใช้ความเร็วในการเดินทางต่ำอย่างนี้


ไม่เปิดไฟเลี้ยว
บางคนหลงลืม บางคนไม่เปิดเป็นนิสัย บางคนตั้งใจไม่เปิด เพราะเคยพบกับคนอื่นที่นิสัยไร้น้ำใจ
ซึ่งทำให้การเปิดไฟเลี้ยวที่น่าจะเป็น การเตือนให้ทราบหรือขอทาง
แต่กลับเป็นการเตือนให้รู้ตัวและก็เร่งความเร็วมาปิดช่องว่าง หลายคนจึงไม่เปิดไฟเลี้ยว
ด้วยเหตุผลสั้นๆ คือ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ตัว ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นควรเปิด
เพราะจะได้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และก็คงไม่พบกับคนไร้น้ำใจกันทั้งถนน


 

ป้ายหยุด แต่ไม่หยุด
ในไทยใช้คำว่า หยุด ส่วนในหลายประเทศเป็นป้าย STOPและต้องปฏิบัติตามป้ายอย่างเคร่งครัด
เช่น สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะอยู่บนถนนใหญ่หรือซอยเล็ก กลางวันหรือดึกไม่ว่าจะดูคึกคักหรือ
เปลี่ยว หากมีป้ายนี้ ต้องเบรกรถยนต์ให้ล้อหยุดหมุน จะสักครึ่งหรือ 1 วินาทีก็ยังดี
หากดูแล้วทางโล่งก็ค่อยขับต่อไป ไม่มีการปล่อยไหลช้าๆ ล้อต้องหยุดสนิทชั่วคราว
ไม่งั้นถ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจซุ่มอยู่จะจับกุมได้ทันที แม้ถนนจะโล่ง ดึกและเปลี่ยว
รวมถึงไม่มีรถยนต์อื่นในบริเวณแยกนั้นเลยก็ตาม นับเป็นความปลอดภัยที่ชัดเจน
เพราะการหยุดพร้อมกับดูความโล่งของเส้นทางที่จะไปย่อมดีกว่าปล่อยรถยนต์ไหลๆพร้อมกับดู

น่าแปลกที่คนไทยไม่เคยจอดรถยนต์ตามกำหนดของป้ายหยุดนี้เลย
บางคนมองเห็นและทราบว่ามีแยกอยู่ข้างหน้า และต้องดูเส้นทางว่าว่างไหม
แต่ไม่เคยคิดจะให้้ล้อหยุด หมุนสักครู่เลย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่เคยจับ
บางคนแทบไม่เคยเห็น ไม่สนใจป้ายนี้ หรือเห็นแล้วไม่คิดว่าจะต้องเบรกจนล้อหยุดหมุนเลย
รวมถึงหากขับรถยนต์ไหลๆ มาเป็นแถว ถ้าบริเวณแยกนั้นเส้นทางว่าง
หากใครพบป้ายนี้แล้วเบรกจนหยุด ก็อาจโดนบีบแตรไล่หรือถูกชนท้ายได้
ป้ายหยุดสำหรับคนไทยจึงกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก หรือบางคนบอกว่าไร้สาระจะติดไปทำไม


ฝ่าไฟเหลือง
ในไทยเห็นไฟเหลืองแล้วต้องเร่งส่ง ขณะที่ในหลายประเทศคือไฟหยุด เห็นไฟเหลืองแล้ว
ต้องหยุด ในไทยขืนไม่เร่งส่ง ก็อาจโดนก็อาจโดนบีบแตรไล่หรือถูกชนท้ายได้
เรื่องนี้คงยากที่จะแก้ไข เพราะถ้าพิสดารทำอยู่คนเดียวก็อาจถูกชนท้ายได้


เปิดเลนใหม่ซ้ายสุด
หากการจราจรติดขัดมา และถนนมีไหล่ทางด้านซ้าย พอจะเปิดเลนใหม่ได้อีกสัก 1 เลน
ก็จะไม่รีรอ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อนุโลมให้ในหลายประเทศ ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
และไม่ว่าการจราจรจะติดขัดเพียงไร ก็ไม่มีใครเปิดเลนใหม่ริมซ้ายสุด เพราะจะโดนจับ
จะใช้สำหรับรถยนต์จอดเสีย และที่สำคัญ คือ สำหรับรถยนต์ฉุกเฉิน เช่น
กำลังจะไปลากรถยนต์ที่จอดเสีย หรือที่สำคัญคือ รถพยาบาลที่ควรจะไปได้เร็วที่สุดในเลนโล่งๆ
สำหรับคนไทยที่ทำเช่นนี้ จะสำนึกก็ต่อเมื่อต้องใช้บริการของรถพยาบาลแล้วทุกเลนเต็มหมด
แม้แต่ริมซ้ายสุดก็ยังเต็ม


จอดทับลายตารางเหลือง
ผู้ขับรถยนต์ส่วนใหญ่ทราบว่าห้ามจอดทับ แต่ในกรณีที่การจราจรติดขัดแบบพอไหลๆ ได้
หลายคนก็เผลอจอดทับ เพราะไม่ได้ประเมินรถยนต์บนการจราจรข้างหน้า
คิดง่ายๆว่าเดี๋ยว คงไหลไปเรื่อยๆ ผ่านลายตารางไปได้ ในความเป็นจริง เมื่อถึงเขตตารางนี้
ถ้าไม่แน่ใจก็ควรรอให้รถยนต์คันนำหน้าเลยปลายตารางออกไปจนมีที่ว่างสำหรับรถยนต์ของเรา
แล้วค่อยขับตามไป ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ไม่ยอมทำกันให้ถูกต้อง


เลี้ยวซ้าย (ไม่)ผ่านตลอด
หลายคนไม่ทราบว่า จะสามารถเลี้ยวซ้าย ผ่านตลอดได้ ก็ต่อเมื่อมีป้ายบอกไว้ชัดเจนว่า
เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดหากไม่มีป้ายฯ รวมถึงไม่มีสัญญานไฟแยกออกมา
ตามกฎหมายจะถือว่าตรงนั้น เลี้ยวซ้ายไม่ผ่านตลอด
ต้องรอให้มีไฟเขียวทางตรงหรือไฟเขียวเลี้ยวซ้ายสว่างขึ้น ถึงจะเลี้ยวซ้ายได้


จอดเลยเส้นตรงแยก
นับเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ จนต้องมีกฎหมายตัดแต้มกัน น่าตำหนิ โดยเฉพาะเมื่อจอด
ทับทางม้าลาย คนข้ามถนนต้องเดินเลี่ยงโดยไม่จำเป็น คนอยู่ในรถยนต์เย็นฉ่ำกลับจอดบังทาง
ม้าลายให้คนเดินถนนที่ทั้งเจอความร้อนทั้งฝุ่นต้องลำบากมากขึ้น


ไม่ต่อคิว จอดแปะขอเข้า
น่าจะมีน้อยมากที่ปฏิบัติเพราะไม่คุ้นเส้นทาง ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะไม่อยากต่อคิวยาวเลยขับมา
ต้นๆคิวแล้วจอดแปะริมคิวขอเข้า เกะกะออกไปอีกเลนหนึ่งแล้วก็คิดไปเองว่า ในเมื่อเปิดไฟเลี้ยว
แล้วก็น่าจะมีน้ำใจให้เข้าหน่อย โดยไม่มองว่าตนเองตั้งใจไม่ต่อคิวแล้วมาขอแทรกนั้นไม่ถูกต้อง


แซงเส้นทึบ
ทั้งนอกและในเมืองพบได้เสมอ มีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เดาว่าเกินครึ่งขับอย่างตั้งใจ
โดยเห็นเส้นทึบก่อนตัอสินใจฝ่าฝืนขับข้ามหรือแซง


จอดในที่ห้ามจอดแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน
เสมือนว่าถ้าเปิดไฟฉุกเฉินแล้วจะจอดชั่วคราวได้ ถึงจะมีป้ายห้ามจอดอยู่ชัดเจนก็ตาม
โดยไม่สนใจว่าจะเกะกะการจราจรเพียงไร


ติดสินบน ต้นเหตุของการกระทำผิด
การให้และรับสินบนเมื่อมีการกระทำผิดกฎจราจร นับเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย
ใครไม่ยอมติดสินบนหรือตั้งใจรับใบสั่ง อาจจะกลายเป็นคนโง่ในสังคมของตนเอง
คนที่ติดสินบน มักจะยอมรับว่าตนเองกระทำผิด แล้วยกสารพัดข้ออ้างขึ้นมาหาความถูกต้องว่า
เสียค่าปรับแพง เสียเวลาทำมาหากินหรือโดนตัดแต้ม สู้ติดสินบนแล้วจบเลยตรงนั้นไม่ได้
พอดีว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคน ก็เต็มใจและจับกุมเพื่อต้องการสินบนอยู่แล้ว
การติดสินบนผิดทั้งผู้ให้และผู้รับ แต่คนที่ให้ กลับมาคิดหรือพูดภายหลังว่า โดนไถ
หรือคนรับเลวฝ่ายเดียว ไม่ได้คิดเลยว่า ตนเองทำผิดกฎหมาย 2 ต่อ คือ ผิดกฎจราจร
และติดสินบนเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้คงแก้ไขกันยาก หากพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย
และก็ไม่เคยมีคดีในศาลเรื่องการให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังกระทำผิดกฎจราจร
การติดสินบนหลังกระทำผิด ทำกันจนเป็นวัฒนธรรมกลายๆของคนไทยไปแล้ว
และก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการกระทำผิดกฎจราจร
โดยไม่ระมัดระวังหรือถึงขั้นตั้งใจกระทำผิดกันมาก เพราะหลายคนคิดอย่างชะล่าใจว่า
อย่างมากถ้าบังเอิญถูกจับก็ยัดเงินเจ้าหน้าที่ร้อยสองร้อยบาทก็จบ หลายคนเดาว่า
หากกระทำผิดกฎ จราจรแล้วติดสินบน มีโอกาสสำเร็จไม่ต้องรับใบสั่งถึงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
(ในความเป็นจริงจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 80 ก็คงพอเดากันได้)

หากการติดสินบนในเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ยังมีเป็นปกติ ก็ต้องถือว่าเป็นนิสัยพื้นฐานของคนไทย
ที่ชอบซิกแซ็กหรือหาทางเลี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้นก็เลิกด่านักการเมืองโกงกินได้เลย เพราะถ้าคุณไปอยู่ในบทบาทนั้น
ก็คงซิกแซ็กโดยมีข้ออ้างสารพัดเช่นเดียวกับการไม่อยากจ่ายค่าปรับหลังการกระทำผิดกฎจราจร

บทความนี้ คงได้แค่กระตุ้นเตือน แต่คงคาดหวังให้ปฏิบัติตามคงยาก เพราะหลายเรื่องถูกฝังรากลึกลงไปแล้ว
บันทึกการเข้า
satangza@SBA#02
AE Thailand Club Member
Junior
*****



กำลังใจ: 75
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: ee101
รหัสเครื่องยนต์: 4e-fe
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่งบประมาณที่ได้มา
สังกัดพื้นที่: Rangsit
ที่อยู่: Saraburi
กระทู้: 437


« ตอบ #12 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2009, 20:09:53 »

 สุดยอด +10
บันทึกการเข้า

E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #13 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2009, 11:28:53 »

การดูแลรักษาระบบเบรค
หน้าที่ของเบรกคือการหยุดรถหรือทำให้การเคบื่อนไหวของรถช้าลงตามความต้องการ
ตลอดเวลาขับขี่ ฉะนั้นเบรกจึงต้องทำการหยุดรถได้แน่นอนและรวดเร็วตลอดเวลา
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุทางทรัพย์สินและชีวิต

เบรกในปัจจุบันนี้นิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภท

1. ดรัมเบรกเป็นระบบเบรกรุ่นเก่าที่ยังมีใช้อยู่ในรถเก๋งบางรุ่น
ในส่วนของดรัมเบรกจะมีลักษณะเป็นแผ่นเบรกสองแผ่นดันบริเวณกระทะเบรกเพิ่ม
ความเสียดทาน เพื่อช่วยในการหยุดรถ หรือชะลอรถ
การใช้ดรัมเบรกจะใช้ครบทั้ง 4 ล้อในตอนแรก
และล้อมั้ง 4 ล้อในวงจรเบรกจะทำงานอย่างสัมพันธ์กัน

2. ดิสก์เบรก
เป็นระบบเบรกที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน อาจจะเป็นระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ หรือ
เบรก 2 ล้อหน้าเป็นดิสก์เบรก 2 ล้อหลังเป็นดรัมเบรก
ระบบการทำงานของดิสก์เบรกจะแยกทำงานกันคนละส่วนเป็นอิสระต่อกัน
ระบบนี้เป็นระบบในรถรุ่นใหม่ รถรุ่นเก่ายังคงเป็นระบบที่ทำงานร่วมกัน

หลักใหญ่ที่จะทำให้เบรกมีประสิทธิภาพคือ
น้ำมันเบรกเป็นส่วนสำคัญนับจากชิ้นส่วนอื่นๆที่ใช้ร่วมกัน
ในระบบเบรกระดับของน้ำมันเบรกจะมีส่วนคล้ายกับระบบของน้ำมันเครื่อง
คือต้องพยายามคอยดูแลไม่ให้ลดลงกว่าระดับมาตรฐานที่วางไว้ ต้องคอยเช็กอยู่เสมอ
น้ำมันเบรกนี้จะมีขายอยู่ตามปั้มน้ำมันทั่วไป คุณภาพในแต่ละยีห้อนั้นใกล้เคียงกัน
อยู่ที่ว่าต้องการยี่ห้อไหนหรืออาจใช้ตามมาตรฐานของคู่มือรถที่ให้มา นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด


การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรก
น้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบสำคัญอันหนึ่งในการเบรก ฉะนั้นจึงควรตรวจสอบให้อยู่ในระดับ
ที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไปจนหมดหรือ
เหลือน้อยการเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดอุบัติเหตุได้


ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก
1. เปิดฝากระโปรงรถยนต์

2. ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณชิดกับตัวถังรถในส่วนที่ติดกับกระจก ให้เช็กระดับของน้ำมันเบรกในถ้วยว่าอยู่ในระดับไหน
ถ้าระดับน้ำมันเบรกอยู่ MAX ไม่ต้องเติมน้ำมันเบรก MIN
ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึงเส้น MAX ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ MAX
เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง
ซึ่งน้ำมันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้

3. ก่อนเปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด-เปิด ให้สะอาด
เพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆตกลงไป ซึ่งอาจทำใหระบบเบรกเสียหายได้

4. เติมน้ำมันเบรกลงไปในถ้วยตามระดับในข้อที่ 2

5. ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืมก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิด
ถ้วยน้ำมันเบรกด้วย มีรถยนต์รุ่นเก่าบางรุ่น
ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณหัวเก๋งด้านคนขับก็ใช้วิธีการเติมแบบเดียวกัน

การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกและเติมน้ำมันเบรกให้ดูทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน
เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้งจึงต้องหมั่นดูแล

ข้อควรระวัง
น้ำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้นเมื่อทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถ
รีบเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้เพราะจะทำให้สีถลอกได้
และห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถอย่างเด็ดขาด

น้ำมันเบรกควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติ
เมื่อรถยนต์วิ่งได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเช็กทุก 10,000 กิโลเมตร
จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่าย น้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่


สำหรับในส่วนของผ้าเบรกจากเบรกนั้น
ยกให้เป็นหน้าที่ของช่างตรวจสภาพเมื่อครบตามเวลาหรือระยะทางที่กำหนดมาให้
ในคู่มือรถยนต์ เพราะเป็นส่วนที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

เบรกมือ
คือเบรกที่ใช้ช่วงรถจอดสนิทหรือขณะที่รถขึ้นสะพานแล้วรถติดหรือทางลาดชันและ
รถติดอีกเช่นกัน ระบบเบรกมือนี้จะเป็นกลไกที่จะไปล็อกล้อหลังไม่ให้เคลื่อนที่

เบรกมือจะอยู่บริเวณเกียร์ คืออยู่ถัดจากเกียร์ลงมาทางด้านหลังในกรณีของรถเก๋ง
และอยู่บริเวณข้างพวงมาลัยรถในกรณีของรถบรรทุกเล็กและรถตู้

การดูแลรักษาเบรกมือไม่มีอะไร เพราะไม่มีส่วนที่ต้องคอยดูแล เพียงแต่เมื่อใส่เบรกมือ
แล้วเวลาจะออกรถอย่าลืมปลดเบรกมือด้วย จะสังเกตได้จากไฟเบรก
ซึ่งจะทำระบบเบรกทางล้อหลังเสียได้ แต่รถยนต์บางรุ่นถ้ารถไม่ได้ปลดเบรกมือ
รถยนต์จะไม่วิ่งจนกว่าจะปลดเบรกมือให้เรียบร้อยเสียก่อน

การใช้เบรกมือที่มีตำแหน่งอยู่บริเวณใต้พวงมาลัยให้ด้ามจับเบรกมือขึ้นมาจนสุดเช่นกัน
แล้วหมุนไปทางขวาสูงสุด เวลาปลดก็ให้หมุนมาทางซ้ายและกด เช่นกัน


เรื่องน่ารู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเบรก
เบรกแบบดิสก์หรือแบบจานจะมีประสิทธิภาพการเบรกได้ดีกว่าเบรกแบบดรัม
หรือแบบกระทำรถโดยทั่วไป นิยมใช้เบรกทั้งสองร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาที่ระบบเบรก
เกิดเสียขึ้นมาส่วนใดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ยังสามารถทำงานได้

บันทึกการเข้า
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #14 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2009, 11:14:19 »


การหลีกเลี่ยงคนเมาเหล้าขับรถ
แม้ว่าเมืองไทยจะพยายามออกกฎหมายให้จับและปรับคนขับรถที่เมาเหล้า
แต่ก็ยังมีผู้ที่เมาเหล้าแล้วยังขับรถอยู่ดี
คนเมาเหล้าขับรถ นับว่าเป็นตัวอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อการจราจรของเรา
50% ของอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดจากคนเมาเหล่านี้ โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
1 ใน 10 ของคนขับรถบนท้องถนนเป็นพวกที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ หากกฎหมายยังห้ามเขา
ไม่ให้ขับรถไม่ได้เด็ดขาด เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยการหลีกเลี่ยงคนขับรถเมาเหล้า
ประเภทนี้แล้วล่ะค่ะ(หากคุณมีธุระต้องออกจากบ้านในตอนกลางคืน)

หากคุณเห็นรถคันหน้าขับรถแบบนี้ แสดงว่าคุณกำลังเจอคนเมาขับรถเข้าให้แล้ว
1.มีวงเลี้ยวที่กว้างมากผิดปกติ
2.ขับรถคร่อมเลนตลอดเวลา
3.ขับรถกินซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เอาแน่ไม่ได้
4.จู่ๆ ก็หยุดรถกระทันหัน
5.เลี้ยวรถกระทันหัน หรือเลี้ยวรถในที่ห้ามเลี้ยว
6.เร่งสปีดเร็วมาก
7.ลืมเปิดไฟหน้ารถ (ในตอนกลางคืน)
8.เกือบจะชนรถคันหน้า หรือเกือบเฉี่ยวสิ่งของข้างทาง
9.ขับแบบล่องลอย ไม่รู้ว่าจะขับรถไปทิศทางไหนดี
10.ตอบสนองต่อไฟจราจรช้า
11.ขับรถผิดทาง

สิ่งที่คุณควรทำ
1.รักษาระยะห่างจากรถคันดังกล่าว อย่าพยายามขับไปใกล้ หรือแซง
คนขับขี้เมาพวกนี้อาจเฉี่ยวรถคุณเข้าให้ก็ได้

2.ถ้ารถคันดังกล่าวอยู่ข้างหลังคุณ,ควรเลี้ยวขวาที่สี่แยกที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้รถคันนี้ผ่านคุณไป

3.ถ้ารถคนเมากำลังวิ่งสวนคุณมา คุณควรขับชิดซ้ายให้มากที่สุดหรือถ้าหยุดได้ก็จอดชั่วคราว
แล้วกระพริบไฟหน้ารถหรือบีบ แตรเพื่อให้คนขับรู้สึกตัว

4.เมื่อใกล้สี่แยกโดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนแล้วควรชะลอรถ เพราะอาจเกิดสิ่งที่นึกไม่ถึงขึ้นก็ได้

5.คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับรถ และไม่ว่านั่งอยู่ในตำแหน่งไหนในรถก็ตาม
และอย่าลืมล็อคประตูรถด้วย

6.หากพบคนเมาขับรถ จดทะเบียนรถ, สีรถ แล้วโทร บอกตำรวจ หรือจส. 100

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างในการระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย
เพื่อที่เราจะสามารถช่วยตัวเอง,สมาชิกในครอบครัว และทรัพย์สินของเราให้ปลอดภัย
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยป้องกันได้ทุกเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนปลอดภัยในการขับรถบนท้องถนน และอย่าขับรถเมื่อคุณเมา

บันทึกการเข้า
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #15 เมื่อ: 04 มกราคม 2010, 11:47:34 »

การแซงอย่างมีมารยาท และปลอดภัย
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องการแซงจะเป็นปัญหาที่เห็นกันเรื่อยๆสำหรับ คนที่ขับรถมาหลายปีแล้ว
แทนที่จะเป็นมือใหม่ คงเพราะมือใหม่อาจจะไม่ค่อยอยากแซง
และเวลาแซงมักจะหันไปดูแล้วดูอีกเลยไม่ค่อยมีปัญหา
แต่คนที่ขับรถมานานคงจะทราบถึง "จุดบอด" ในการแซงเป็นอย่างดีและคงมีประสบการณ์มา
บ้างแล้ว นั่นคือมุมมองช่วงด้านข้างของรถค่อนไปทางข้างหลังเราทั้งซ้ายและขวา
เพราะเวลาขับรถถ้ามีรถขับข้างๆเราค่อนไปข้างหลังนิดหน่อย เราจะมองไม่เห็นจากกระจกข้าง
เพราะมุมของกระจกจะเลยรถคันนั้นไป และสายตาเราก็มองไม่เห็นเพราะเรามองไปข้างหน้าอยู่
รถที่อยู่ค่อนไปข้างหลังหน่อยก็ไม่อยู่ในรัศมีของสายตาเรา เวลาเราจะแซงหรือเปลี่ยนเลน
เราก็จะเบียดเข้าไปในเลนที่คิดว่าโล่งทันที ถ้ามีรถอยู่ตรงนั้นละก็ ไม่เสียงแตรพร้อมเสียงสวด
ก็เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ คนขับเองก็คงตกใจไม่ใช่น้อยว่า มาจากไหน
คนที่ถูกปาดก็คงงงว่าเข้ามาได้ยังไง อยุ่ตรงนี้ทั้งคัน
แต่คนที่มีประสบการณ์จะเข้าใจดีว่า คันนั้นไม่เห็น เพราะเป็นจุดบอด


วิธีป้องกันไว้ก่อนง่ายๆ มีดังนี้ ถ้าท่านเป็นคันที่จะแซง

 ก่อนแซง
ควรเหลือบหรือหันไปดูซักแว้บเดียวไม่ว่าซ้าย-ขวา ท่านจะเห็นชัดว่าควรทำยังไงต่อ

 ถ้าไม่ชอบหัน ลองหากระจกเงานูน เล็กๆที่มีขายกันทั่วไปมาติดกระจกข้าง
ลองใช้จนเคยชินก็ช่วยได้ จะได้มุมมองเหมือนกระจกข้างเบนซ์เชียวหละ

 ตอนแซงหรือเปลี่ยนเลนค่อยๆเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งก่อนหักออก เพื่อความไม่ประมาท
ถ้ามีรถอยู่ท่านอาจจะได้ยินเสียงแตรเตือนให้ทราบก่อนว่ามีรถอยู่
และถ้ามีเหตุอะไรจะได้ตั้งตัวทันหักกลับชะลอรถได้ ถ้าท่านเป็นคันที่อยู่ตรงจุดบอดของคันหน้า

 ควรหลีกเลี่ยงการขับด้วยความเร็วเท่าๆกัน
โดยที่ท่านต้องอยู่ตรงนั้นไปนานๆ เร่งแซงไปหรือชะลอรถลงมาให้อยู่ห่างหน่อยดีกว่า

 ช่วงเร่งแซงสังเกตุคันหน้า ถ้ามีการเริ่มเบียดเข้ามาให้บีบแตรเตือนทันที กันไว้ก่อน

 พร้อมเบรคทันที ถ้าคันหน้าเบียดเข้ามาเต็มๆ ทำใจว่าเป็นจุดที่เค้ามองไม่เห็นจริงๆ
หรือคิดซะว่าทำบุญ ไปแล้วกัน เพราะบางคันก็รู้แต่ ข้าจะรีบไปประมาณนั้น
บันทึกการเข้า
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #16 เมื่อ: 05 มกราคม 2010, 10:39:34 »

ขับรถตามหลัง ระวัง ไว้ก่อน
ช่วงหน้าฝนเห็นการชนท้ายในช่วงฝนตก หรือบางทีก็ไม่ตกนี่แหละ และช่วงโพล้เพล้กันมาก
อยากให้ทุกท่านเพิ่มความระมัดระวังกันเพื่อความไม่ประมาท อุบัติเหตุจากการชนท้ายเค้า
หรือเราถูกชนท้ายมักเกิดได้ง่ายใน


* ทางลาดลงสะพาน
สะพานที่ Slope น้อยๆข้ามคลองหรือข้ามแยกนี่แหละเพราะเรามักคิดว่าไม่มีอะไร
ส่วนสะพานชันๆเรามักจะระวังและขับช้าอยู่แล้ว การชนท้ายเกิดง่ายเพราะเราจะถูกส่วนโค้ง
ของสะพานบังตอนขาขึ้น แถมตอนลงยังมีแรงส่งจากทางลาดอีกต่างหาก
ถ้าคันหน้าลดความเร็วลงนิดหน่อยเราก็เสียว ถ้าเราไม่เบาคันเร่งในขาขึ้น ซึ่งหลายๆท่าน
จะเหยียบส่งด้วยซ้ำเพราะเป็นขาขึ้น เวลาพ้นยอดสะพานแล้วมีรถคันหน้าติดอยู่นี่แหละตัวดี
เคยมีเพื่อนขับบนวิภาวดี สะพานข้ามแยกลาดพร้าว ชนจากสาเหตุนี้รวดเดียว 7 คัน
พอดีอยู่คันกลางเลยโดนกระแทกทั้งหน้าหลังต้องเข้าเฝือกที่คอหลายสัปดาห์ เพราะรถขาลง
สะพานจะต้องระวังรถที่เบี่ยงมาเข้าทางด่วนเลยชะลอ คันหลังก็เหยียบส่งมาเต็มๆ เบรคไม่ทัน
นั้นเอง หรือแม้แต่การขับลงสะพานรถติดๆไหลๆไปพอคันหน้า เบรคจึก
ท่านต้องระวังจึกให้ทัน และระวังคันหลังด้วยนะครับ


* ขึ้นตัวหนอน
เมื่อท่านเห็นตัวหนอนแล้วชลอรถเพื่อจะข้ามอย่าคิดว่าคันหลังจะเห็นเสมอไป เค้าอาจจะเหม่อ
ไม่รู้เส้นทางก็ได้ เชื่อไม๊ครับหลายปีก่อน ขับรถออกจากห้างเซ็นทรัลจะเลี้ยวออกมา
ตรงถนนข้างหอวังก็มีหนอนตัวนึงนอนพาดอยู่ เราก็เบรคข้ามตามปกติ มีรถขับตามหลังมา
ไม่รู้เรื่อง ชนท้ายเข้าเต็มๆ โดยไม่เบรค กร่อยจริงๆ
สาเหตุเพราะเธอไม่รู้ว่ามีตัวหนอนเลยเบรคไม่ทัน!


* เวลาเลี้ยว
ไม่ว่าจะเลี้ยวเข้าซอย ออกจากซอย กลับรถ นี่หละ อย่าไปจี้ท้ายมาก เพราะกลัวไม่ได้ไป
จนลืมระวังเพราะเราจะไม่เห็นมุมที่รถคันหน้าเห็น ทำให้ไม่มีเวลา ระวังได้ทัน เช่น
คันหน้าอาจจะเจอ คนตัดหน้า จนต้อง หยุดกระทันหัน แต่เราจะมองไม่เห็นเพราะถูกมุมของ
รถบังอยู่ ทำให้อาจเบรคไม่ทันได้


* ไฟเหลือง-แดง
ท่านจะไป หรือจะเบรคก็ดูคันหน้า ให้ดี ว่าเค้าจะเร่งให้พ้นหรือหยุดกันแน่ ถ้าเค้าชะลอ
เพื่อหยุด แล้วเราก็ต้องเผื่อระยะเบรคให้ทัน จะคิดว่าเค้าจะไปแล้วเราเกาะไปด้วย
เร่งส่งอย่างเดียว อาจจะเสียเวลาได้ รวมถึงระวังรถปาดหน้าเปลี่ยนเลนตอนช่วงหยุด
เพราะปกติเราจะกะระยะเบรคไว้พอดีๆ แต่ถ้ามีรถเสียบเข้ามา มันน่าหงุดหงิดจริงๆแต่
ยังไงก็ต้องเบรคเร็วขึ้นให้ทัน ระยะที่มันหายไป 1 คันนะครับ


* ขับเร็วชิดขวาจริงหรือ
ปกติเราขับรถก็จะใช้ความเร็วไปพอๆกัน ที่นี่เราดูเลนซ้ายมันก็วิ่งแต่เลนขวาของเรา
มันชะลอลง เราอาจจะคิดว่า เดี๋ยวก็เร่งต่อ แต่ปรากฏว่ามีอาจจะหางแถวของรถเลี้ยวขวา
หรือกลับรถ ยาวจนทำให้รถเลนขวาที่วิ่งมาเร็วๆ ต้องหยุดเลยก็ได้ ถ้าไม่ได้คิดว่าจะหยุด
สนิทละก็ อาจจะเบรคไม่ทันและถ้าไม่คุ้นเส้นทางจะงงว่าหยุดอะไรกัน ก็เผื่อไว้บ้างนะครับ
ถ้าหยุดจี้ท้านคันหน้ามากไปท่านจะเปลี่ยนเลนออกมาลำบาก


สรุปสิ่งที่เราสามารถระวัง เตรียมตัวได้
* มองข้ามคันหน้าไปซักคันสองคัน เพื่อจะได้มีเวลาตั้งตัว มองทะลุกระจก
หรือมองด้านข้างรถ ขับเบี่ยงมุมออกมาหน่อยสังเกตุกระจกข้าง หรือ สังเกตุเงารถก็ได้

* อย่าจี้ท้าย และอย่าให้ใครมาจี้ ถ้ามีคนจี้ท่านก็ปล่อยเค้าไปดีกว่า

* อย่าลดความเร็วกะทันหัน อย่าจึกบ่อยนั่นเอง ถ้าท่านไม่จี้ก็ไม่จึก ถ้าท่านจี้แล้วจึก
แต่ไม่มีรถตามก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีรถตาม ต้องเผื่อระยะให้เค้ารู้ว่าจะเบรคหยุด
เพราะเวลาการเบรคต่อคันมันจะลดลงเร็วมากคันหลังๆมักจะ แพ้เกมนี้ทุกทีเลย
แต่มันกดเล่นใหม่ไม่ได้นี่ซิ

* ขึ้นสะพานอย่าเหยียบส่งเสมอไปเผื่อใจไว้ว่าถ้าข้างหน้ามีรถติดอยุ่ท่านจะหยุดทัน
เราอาจจะวิ่งฉิวเข้าไปหากลุ่มรถที่จอดติดอยู่ก็ได้
จะทำให้รถตามหลังรถความเร็วตามและไม่ชนท้ายท่านด้วย

* ฝนตก โพล้เพล้เผื่อระยะเพิ่มด้วย ถนนอาจจะลื่น เบรคอาจจะลื่น ทั้งเรา คันหน้า
และคันหลัง มอเตอร์ไซด์ รถบรรทุกยิ่งไปกันใหญ่ เผื่อระยะอีกหน่อย ดีกว่าครับ

* เพิ่มความระวังเวลาเลี้ยวตามคันหน้า ถ้าจำเป็นต้องจี้ท้ายมาก
เช่น รีบกลับรถตามกัน ยิ่งต้องระวังมากขึ้น

* ไฟเหลืองก็เอาให้แน่ว่าจะหยุดหรือจะไป คันหลังจะได้ตั้งตัวทัน
ถ้าจะหยุดแล้วไปนี่ก็พอไปได้ แต่ถ้าจะไปแล้วหยุดนี่ระวังหลังไว้ด้วย

* ถ้าขับเลนขวาแล้ว สังเกตุด้านขวาของถนนข้างหน้าบ้าง
เพื่อดูว่ามีแยกเลี้ยวขวาหรือที่กลับรถหรือไม่

* ดูเลนซ้ายบ้างเป็นระยะ เผื่อการเปลี่ยนเลนที่อาจจะได้หรือไม่ได้ ท่านจะได้เตรียมตัวถูก

บันทึกการเข้า
ซุปเปอร์เน@SBA#10
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****


ไม่หล่อ แต่อร่อยครับ ^_^

กำลังใจ: 509
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,125


« ตอบ #17 เมื่อ: 05 มกราคม 2010, 20:03:34 »

 สุดยอด
บันทึกการเข้า

ไม่หล่อ....แต่มีท่ายาก
[/b]


miny@SBA#07
AE Thailand Club Member
Professor
*****


@@ ไม่ได้ซุ่ม แต่สุ่มทำ @@

กำลังใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE-100
รหัสเครื่องยนต์: ก็แค่ 7A-FTE + LPG
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่จะหาได้
สังกัดพื้นที่: บางกอกเหนือ - สระบุรี
ที่อยู่: ทาวร์ อิน ทาวร์ และ สระบุรี (แก่งคอย)
กระทู้: 4,432


« ตอบ #18 เมื่อ: 06 มกราคม 2010, 22:18:46 »

 สุดยอด สุดยอด+
บันทึกการเข้า



 !! รถไม่สวยแต่รวยน้ำใจ !!
มะหน่อง มณีแดง@SBA#08
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****


หัวใจเธอมันหน้ากราบ

กำลังใจ: 478
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,896


« ตอบ #19 เมื่อ: 06 มกราคม 2010, 23:35:41 »

 aom2รถผมเกียร์มัวอะ
บันทึกการเข้า
satangza@SBA#02
AE Thailand Club Member
Junior
*****



กำลังใจ: 75
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: ee101
รหัสเครื่องยนต์: 4e-fe
อุปกรณ์แต่งรถ: แล้วแต่งบประมาณที่ได้มา
สังกัดพื้นที่: Rangsit
ที่อยู่: Saraburi
กระทู้: 437


« ตอบ #20 เมื่อ: 07 มกราคม 2010, 16:25:08 »

 อ๊วกๆ อ่านจนตาลายเลย
บันทึกการเข้า

E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #21 เมื่อ: 08 มกราคม 2010, 11:38:38 »

การจอดรถอย่างมีมารยาท
1. ไม่ควรจอดรถใกล้ปากซอย หรือทางเข้าออกมากเกินไป ทั้งช่วงก่อนถึงและช่วงที่รถ
ต้องเลี้ยวออก ท่านจะทำให้รถที่เลี้ยวเข้าต้องชะลอรถบนถนนใหญ่ และเวลาออกไม่สามารถ
ชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวออกได้ทันที ทำให้รถติด ในซอย และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

2. ไม่ควรจอดรถใกล้ทางแยกในซอยที่แคบประมาณสองเลน รถท่านอาจโดนเฉี่ยวจากรถ
ที่ตีวงเลี้ยวไม่พ้นได้ และทำให้การจราจรติดขัดเพราะรถทุกคันต้องชะลอเพื่อหลบรถท่าน

3. หากท่านที่ยังถอยจอดไม่คล่อง ควรฝึกให้เกิดความเคยชิน
เพื่อความรวดเร็วของทั้งตัวท่านเองและเพื่อนผู้ใช้รถทุกคน

4. ก่อนจอดอย่าลืมดูว่ามีคันอื่นที่มาก่อนเราจอดเปิดไฟกระพริบรออยู่หรือไม่
ส่วนมากมักจะเลยไปจากช่องที่ว่าง เพื่อถอยจอด เอาหัวออกมาก่อนให้เค้าได้ออกก่อน

5. อย่าจอดรถหันหัวรถสวนทางกับรถที่วิ่งมา หรือจอดรถต้องชิดซ้ายนั่นเอง
ถ้าวิ่งๆมาแล้วเห็นซีกขวาของซอยว่างแล้ววิ่งสวนเลนไปจอดโดยไม่กลับรถ
ถือว่าผิดกฎจราจร มีสิทธ์โดนใบสั่งได้

6. เส้นเหลือง ห้ามหยุด เผื่อๆไว้หน่อย อย่าตามติดคันหน้า
ถ้าไม่แน่ใจว่า รถท่านจะพ้นเส้นเหลือง

7. ในสถานที่ที่เป็นวันเวย์ต้องวิ่งวนเพื่อออกแล้วไปเจอรถวิ่งช้าเพื่อหาที่จอด
ก็ช่วยๆกันใจเย็นๆ ถ้าเรา เป็นคันหาที่จอดก็เร่งๆหน่อย แต่ถ้าเป็นคันหลังก็ใจเย็นหน่อย
ถนนแบ่งๆกันใช้ จะไปเร่งเค้ามากก็เกินไป แต่คันหน้าช้าไปก็ไม่ดี แบ่งๆกันไปใจเย็นๆ
ยังไงอยู่ในสถานที่แบบนั้นก็ไม่ควรขับเร็วมากนัก

8. จอดรถซ้อนคัน อย่าลืมปลดเบรคมือ ยิ่งซ้อนสองคัน ยิ่งอย่าลืมใหญ่

9. อย่าจอดคร่อมสองช่องจอด หรือชิดเส้นซะจนคันอื่นเข้าไม่ได้
เสียดายถนน เงินภาษีพวกเราทั้งนั้น

10. หลีกเลี่ยงการจอดรถขวางหน้าบ้าน ตึกแถว ถ้าจำเป็นอย่าลืมปลดเบรคมือ

11. บ้านไหนมีขโมยเยอะ ถ้าจอดในบ้านจอดเอียงหน่อยก็ดี ไม่งั้นมันจะเข็นออกง่ายไป
เห็นในข่าวเค้าเอา สังกะสีปูรอบรถ ใครเดินเข้าใกล้หรือคิดจะลากออกก็มีเสียงดังแล้ว
ส่วนพวกที่ล็อคพวงมาลัย ล็อคเกียร์ ล็อค คลัทช์ ทำได้แค่ยืดเวลางัดออกไปเท่านั้น
ไม่กี่นาที ก็ขนไปแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 มกราคม 2010, 11:39:24 โดย E20VTU » บันทึกการเข้า
E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #22 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 09:45:03 »

ขับรถถอยหลัง อย่างมีเทคนิค
สาวๆหลายคนมักไม่ชินเวลาต้องขับรถถอยหลัง หรือเก้ๆ กังๆ กะระยะห่างไม่ถูกเวลาถอยรถ
เข้าช่องจอด เพราะคุ้นเคยแต่เดินหน้า เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จนลืมไปว่าการขับรถถอยหลังก็
สำคัญไม่แพ้กัน ทั้งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าขับเดินหน้าเสียอีก
มารู้วิธีขับรถถอยหลังให้ถูกและเทคนิคง่ายๆ ที่ได้จากการสังเกต

 ขับรถถอยหลังนั้น ควรกระทำในขณะที่ความเร็วต่ำ
และขับช้าๆ ซึ่งจะทำให้การหมุนพวงมาลัยได้ผลดี

 ขณะที่จะหมุนพวงมาลัย ควรให้รถมีการเคลื่อนที่นิดหน่อย
เพราะจะช่วยลดการเสียดสี ระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน

 หลักการถอยหลัง มีอยู่ว่าหลักว่าต้องการให้ท้ายของรถยนต์หันไปทางใด
ก็ให้หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางซ้าย ก็ให้หมุนพวงมาลัยไป
ด้านซ้าย และถ้าต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางขวา ก็หมุนพวงมาลัยไปทางด้านขวา

 ในขณะที่คุณจะถอยหลัง หากอยู่ในภาวะขับขัน
การจราจรแออัดควรเปิดสัญญาณไฟ และสังเกตรถที่ผ่านไปมาทั้งด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา
ว่าพ้นระยะในการหักวงเลี้ยวของรถเรารึเปล่า

 เพิ่มความมั่นใจขณะถอยด้วยการใช้มือขวาควบคุมพวงมาลัย
และใช้แขนซ้ายอ้อมไปจับด้านหลังของเบาะคู่หน้า
จากนั้นค่อยๆ ถอยช้าๆ เข้าซอง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การเอี้ยวคอไปมองท้ายรถสะดวกขึ้น

 การทิ้งช่วงห่างระหว่างท้ายรถกับกำแพงด้านหลัง บ่อยครั้งที่เรามักจะกะระยะไม่ถูก
เนื่องจากไม่กล้าถอย กลัวท้ายจะชนโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ลองใช้วิธีแตะเบรกช่วย แล้วสังเกตแสงไฟท้าย ประเมินดูได้จากรัศมีของแสงไฟ
หากจอดชิดเกินไปจะมีแสงหรี่หรือมองไม่แสง แต่หากแสงจ้าแสดงว่ายังถอยหลังได้อีก

 ทั้งนี้ลองสังเกตการจอดของรถข้างๆ ที่มีขนาดใกล้กันช่วยด้วยก็ได้
โดยพยายามให้บานประตูรถอยู่ในระนาบเดียวกัน และระวังเรื่องรถคุณจะจอดล้ำหน้าเกินไป
ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินมิติ หรือขนาดของรถ และขนาดช่องว่างพื้นที่ๆ จะนำรถเข้าจอด
พร้อมด้วยช่องว่างที่เหลือ เพื่อการหักเลี้ยวด้วย
บันทึกการเข้า
TON WIHARN DAENG ZONE
Senior
****


"Think, Believe, Dream, and Dare."

กำลังใจ: 288
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 824


« ตอบ #23 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 13:45:50 »

ตาโก๋ครับ รถกระผมไฟเตือนน้ำมัน มันติดแล้วไม่ยอมดับอ่ะครับ ( เติมไปตั้ง 1000 นึง ยังโชว์อยู่เลยอ่ะครับ )  ร้องให้ ร้องให้ ร้องให้
พอจะมีวิธีแก้ไขมั๊ยครับ รบกวนที่นะครับ  ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
บันทึกการเข้า



E20VTU
AE Thailand Club Member
High Super Senior
*****



กำลังใจ: 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: EE101
รหัสเครื่องยนต์: 4EFE
อุปกรณ์แต่งรถ: เดิมๆๆ
สังกัดพื้นที่: สระบุรี
ที่อยู่: สระบุรี
กระทู้: 2,114


« ตอบ #24 เมื่อ: 11 มกราคม 2010, 14:08:17 »

ตาโก๋ครับ รถกระผมไฟเตือนน้ำมัน มันติดแล้วไม่ยอมดับอ่ะครับ ( เติมไปตั้ง 1000 นึง ยังโชว์อยู่เลยอ่ะครับ )  ร้องให้ ร้องให้ ร้องให้
พอจะมีวิธีแก้ไขมั๊ยครับ รบกวนที่นะครับ  ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
น่าจะเป็นที่ชุดลูกลอยน้ำมันค้าง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: