Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /home/aethail1/domains/aethailand.com/public_html/forum/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3
ห้องสมุด - บางกอกใต้
*ShoutBox
หน้า: 1 [2]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ห้องสมุด - บางกอกใต้  (อ่าน 31085 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อาตี๋ อีโบ
AE Thailand Club Staff
Professor
*


1300...ผูกโบน่ารักๆ

กำลังใจ: 157
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: AE100
รหัสเครื่องยนต์: 1300_หอยน้อย ปล่อยพลัง !!!
อุปกรณ์แต่งรถ: Sprinter full set + 4E-FTE /M/T มีดีที่ เต็ดๆ
สังกัดพื้นที่: South Bkk บางกอกใต้
ที่อยู่: ทุกทิศทั่วไป...ในฝั่งธนฯ
กระทู้: 4,945


« เมื่อ: 19 กันยายน 2009, 12:28:43 »

 ขยัน ขยัน ขยัน


ผมขออนุญาต  สมาชิกบางกอกใต้.....เปิดห้องสมุดของเรานะครับ,

เนื่องจากว่า เห็นอ่านมาหลายกระทู้แล้ว มีแต่เรื่องขำๆ ฮาๆ...พูดกันตรงๆ ไร้สาระ...โดยเฉพาะตัวผม (ตัวเริ่มเลย),

มาวันนี้...ก็เลยอยากจะเปิดกระทู้ "ห้องสมุด" ขึ้นมา เพื่อเป็นกระทู้ แหล่งข้อมูลของพวกเราล้วนๆ

เอาไว้ให้สมาชิกทั่วๆ ไปได้เข้ามาหาความรู้ เรื่องรถ นะครับ, ทั้งมือใหม่หัดแต่ง หรือใครที่มีปัญหาเรื่องรถ

หรือ แม้กระทั่ง ใครมีอะไร ที่เป็นข้อมูลดีๆ ก็ให้เอามาแชร์กันนะครับ, โดยมีกฎระเบียบง่ายๆ ดังต่อไปนี้,


1) ใครมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับ รถยนต์ ก็ขอให้เอามาแบ่งปันกัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
2) ห้าม โพสท์ ข้อมูลนอกเหนือจากเรื่องรถ นะครับ, เช่น เรื่องเกมส์, เรื่องหญิง, เรื่องอะไรที่ไม่ใช่ รถยนต์ ผมขออนุญาต ลบกระทู้โดยไม่แจ้งล่วงหน้านะครับ,
3) ห้าม แปะ Links, ปั่นกระทู้ หรือ ปั่นอีโม นะครับ....


กฎระเบียบมีแค่ 3 ข้อครับ,.... เหตุผลก็คือ ผมต้องการให้คนที่เข้ามาดู ได้อ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ล้วนๆ
และต่อเนื่อง พูดกันง่ายๆ ครับ, ใครจะโพส ก็ขอให้มี สาระเกี่ยวกับรถยนต์ นะครับ, ง่ายๆ แค่นั้น ลองช่วยกัน สร้างแหล่งความรู้
ของพวกเรานะครับ,  

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 สิงหาคม 2011, 16:11:36 โดย อาตี๋ อีโบ » บันทึกการเข้า



รับเบิกอะไหล่แท้
อดีตเคยแรงส์....ปัจจุบันจะแซงยังมีลุ้น !!!
 
kudeaw
AE Thailand Club Member
Senior
*****



กำลังใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 584


« ตอบ #26 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2011, 23:44:15 »

 สุดยอด สุดยอด
บันทึกการเข้า

“วางเครื่องเดิมๆ ไม่อยากพังบ่อยๆ แรงแต่ ไม่ทนก็เท่านั้น
อาตี๋ อีโบ
AE Thailand Club Staff
Professor
*


1300...ผูกโบน่ารักๆ

กำลังใจ: 157
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
รถยนต์: AE100
รหัสเครื่องยนต์: 1300_หอยน้อย ปล่อยพลัง !!!
อุปกรณ์แต่งรถ: Sprinter full set + 4E-FTE /M/T มีดีที่ เต็ดๆ
สังกัดพื้นที่: South Bkk บางกอกใต้
ที่อยู่: ทุกทิศทั่วไป...ในฝั่งธนฯ
กระทู้: 4,945


« ตอบ #27 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2011, 16:17:36 »

 สุดยอด สุดยอด

ถังดักไอน้ำมันเครื่อง ใส่แล้วมีประโยชน์ ยังไง

จะเหมาะสำหรับรถแข่ง หรือรถที่ใช้งานหนักๆ(ขอเน้นตรงนี้ เพราะรถทั่วไปมีท่อวนอยู่แล้ว ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานบนท้องถนน) แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ หน้าที่ของถังดักไอน้ำมันเครื่องที่มาจากท่อบนฝาสูบเ ครืองยนต์เข้าท่อไอดี เมื่อเครื่องยนต์มีความร้อนสูง น้ำมันเครื่องจะร้อนจัด ทำให้บางส่วนเกิดการระเหยเป็นไอน้ำมันเครื่องไหลไปตามท่อผ่านเข้าสู่ท่อไอดี ถังดักไอน้ำมันเครื่องจะลดปริมาณไอน้ำมันเครื่องที่ผ่านเข้าสู่ท่อไอดี โดยทำให้ไอน้ำมันเครื่องจับตัวอยู่ในถังดักไอน้ำมันเ ครื่อง เหลือเพียงบางส่วนไหลเข้าท่อไอดี

การที่ไอน้ำมันเครื่องไหลเข้าไปเผาไหม้จำนวนมาก ทำให้ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ลดลง เพราะเครื่องยนต์+น้ำมันเครื่อง เมื่อร้อนจัด ก็เหมือนน้ำร้อนที่ต้องมีการเดือด พอเดือดแล้วก็กลายเป็นไอ แต่มันไม่มีทางออก ไอน้ำมันเครื่องก็จะชนกับฝาครอบวาล์ว แล้วรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ ลงมาผสมกับน้ำมันเครื่อง (น้ำ+น้ำมันเครื่อง) แล้วมันจะทำให้คุณสมบัติการหล่อลื่นลดลงนั่นเอง แต่รถที่ใช้งานปกติ ทางผู้ผลิตเขาได้ทำท่อระบายไว้อยู่แล้วที่ฝาครอบวาล์ว ดังนั้นตัดปัญหานี้ได้เลย ถึงจะเกิด ก็น้อยมาก ยกเว้นรถที่ติดเทอร์โบ รถแข่ง และ รถที่ใช้งานหนัก รอบสูง พวกนี้จำเป็นที่ต้องใช้อย่างมาก เพราะถ้ามีน้ำผสมอยู่ในน้ำมันเครื่องบางจังหวะ ที่หล่อลื่นไปโดนเพลาข้อเหวี่ยง อาจทำให้การหล่อลื่นจุดนั้นขาดหายไป(เพราะไปเจอเจ้าน้ำ แทนน้ำมันเครื่อง) เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ชาร์ฟ ละลายได้นั่นเอง แต่ถ้าเราจะติดเพิ่มก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม แค่นั้นเอง


เมื่อน้ำมันที่ฝาครอบวาล์วมันเยอะ ตรงลิ้นปีกของเรามันมีไอน้ำมันเยอะ ฝุ่นเล็กๆน้อยๆเล็ดรอดผ่านกรองไปได้แล้วมันจะเกาะตัว กับน้ำมัน เมื่อนานวันเข้าจะเข็งและเป็นก้อนใหญ่ แล้วจะทำให้ท่อร่วมไอดีรูเล็กลงเพราะพวกนี้จับที่พนังเยอะมาก ยิ่งถ้าเป็นกรองเปลือยด้วยแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงจะให้ดีขนาดไหน ฝุ่นก้อผ่านเข้ามาได้อยู่ดี

ทำไมถึงต้องดัดแปลง?

เครื่องที่ใช้งานในรอบสูงบ่อยๆนั้นค่อนข้างจะกินน้ำมันเครื่องมาก เพราะความร้อนในเครื่องยนต์สูง ทำให้เราต้องหมั่นตรวจเช็คน้ำมันเครื่องอาจจะอาทิตย์ ละครั้ง หรือทุก 100 กิโล ว่าน้ำมันเครื่องของเรายังอยู่พอหรือไม่
สาเหตุของการกินน้ำมันเครื่องก็มีได้หลายสาเหตุด้วยกัน แต่จะพูดถึงเรื่องความร้อนของเครื่องยนต์เท่านั้น ในสภาวะกำลังอัดปกติ (ไม่รวมถึงเครื่องหลวม ควันขาว น้ำมันเครื่องรั่ว และอีกหลายๆสาเหตุ)
รถที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ ความร้อนที่สะสมในเครื่องย่อมสูงกว่ารถที่ใช้รอบเครื่องยนต์ปกติ เมื่อมีความร้อนสะสมในเครื่อง ก็จะทำให้เกิดแรงดันภายในห้องเครื่อง ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง แรงดันน้ำมันที่มีมาก ระบายออกทางท่อที่ทำไว้ไม่ทัน ก็จะหาทางออกทางอื่นแทน ทำให้น้ำมันเครื่องหายไปหรือว่าลดลง แต่ถ้าเราลดแรงดันภายในห้องเครื่องได้ เท่ากับว่าเราลดการสูญเสียน้ำมันเครื่อง หรือมีสูญเสียแต่สูญเสียในอัตราที่น้อยมากๆ


เมื่อเราลดแรงดันในห้องเครื่องได้แล้วผลที่ตามมาคืออะไร

1.น้ำมันเครื่องของเราไม่หายไป (อาจจะหายไปบ้างเล็กน้อย อันนี้ขึ้นอยู่ที่หลายปัจจัย)
2.รอบเครื่องยนต์เบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
3.รถของเรามีกำลังมากกว่าเดิม เพราะไม่มีแรงต้านในเครื่องยนต์
4.อัตราเร่งดีกว่าเดิม
5.ยืดอายุของกรองอากาศไม่ให้อุดตัน เพราะกรองอากาศของเราเป็นกระดาษ เมื่อไอน้ำมันจากเครื่องมาที่กรองอากาศ ฝุ่นที่ผ่านกรองอากาศก็จะรวมตัวกับน้ำมันนานวันจะกลา ยเป็นกำแพงอย่างดีทำให้ลดปริมาณอากาศไหลเวียนได้น้อย หรือที่เราเรียกกันว่า “กรองตัน” นั่นเอง


เมื่อติดตั้งถังดักไอน้ำมันเครื่องแล้ว จะทำให้เกิดผลอะไรขึ้นบ้าง

1.ระบบการทำงานของเซ็นเซอร์และกล่องทำงานได้ไม่ผิดเพี้ยน
2.ไม่มีสิ่งสกปรกเข้าไปในช่องท่อไอดี และห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์เผาผลาญพลังงานได้สมบูรณ์ อีกทั้งน่าจะยังช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ด้วย






Credit: http://www.nongear.net/forum/index.php?topic=262.0
บันทึกการเข้า



รับเบิกอะไหล่แท้
อดีตเคยแรงส์....ปัจจุบันจะแซงยังมีลุ้น !!!
kudeaw
AE Thailand Club Member
Senior
*****



กำลังใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 584


« ตอบ #28 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2011, 19:14:08 »

 *กูรูวิชาการ* *กูรูวิชาการ* *กูรูวิชาการ* *กูรูวิชาการ*
บันทึกการเข้า

“วางเครื่องเดิมๆ ไม่อยากพังบ่อยๆ แรงแต่ ไม่ทนก็เท่านั้น
AoF ThE BesT
Moderator
Super Senior
*

รถบ้านท่อดัง

กำลังใจ: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,004


« ตอบ #29 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2011, 18:12:22 »

เอาความรู้เรื่อง OFFSET มาฝากท่านได้ไม่รู้จร้า
ออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET  
ออฟเซ็ต คือ ระยะห่างระหว่าง หน้าแปลนยึดดุมล้อ (Hub Mounting Surface) ภายในล้อแม็กซ์ กับขอบกระทะล้อด้านนอก นับจากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้ง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ออฟเซ็ตศูนย์ (Offset Zero)
คือตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี (นึกถึงถ้าเราเอาล้อแม็กซ์กว้าง 8 นิ้ว มาผ่าครึ่ง จะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 4 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้น อยู่กลึ่งกลางพอดี) เรียกว่าออฟเซตศูนย์
ออฟเซ็คบวก ( Positive Offset)คือตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 38 มิลิเมตรเรียก + 38 เป็นต้น สังเกตง่ายออฟเซตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
ออฟเซ็ตลบ (Negative Offset)
ตรงข้ามกับออฟเซตบวก พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยึ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกัน แม็กซ์ออฟลึก (โคตร) นั่นเอง

วิธีวัดออฟเซตของล้อ
มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง (อย่างผมเคยเป็นคนขายก็ง่าย ) แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าวๆ สไตล์เรา Thaispeedcar และ เพื่อความเข้าใจเรื่อง Offset มากขึ้น ดังนี้
ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว


หรือเอาสั้นๆ การหาออฟเวทของวงล้อรถยนต์ ให้ทำดังนี้..

1.ให้ลากเส้นสมมุติ ผ่านจุดศูนย์กลางของวงล้อ                                                                 
2.ให้ลากเส้นสมมุติ แบ่งครึ่งความกว้างของวงล้อ
3.ให้ดูจุดตัดของเส้นทั้งสองเส้น กึงกลางล้อพอดี ออฟเซ็ท เป้น 0
3.1 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านนอก มากกว่าจุดตัด.......ออฟเซ็ทเป็นบวก
3.2 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านใน มากกว่าจุดตัด........ออฟเซ็ทเป็นลบ


รถแต่ละรุ่น จะมี ค่าoffsetหลากหลาย ไม่เหมือนกัน บางอย่างก็ใช้ทดแทนกันได้ ซึ่งค่าoffsetนั้น จะมีความสัมพันธ์กับความกว้างของแม็กซ์ จึงต้อง
คำนึงถึงความกว้างของแม็กซ์ด้วย

สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซตที่พอดีกับรถ ง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ
วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

ออฟเซ็ตติดลบมากไป (ล้อถ่างออกนอกซุ้มล้อ)
ล้อ และยางจะเกิน ออกมานอกซุ้มล้อ เกิดโคลนกระเด็นใส่ตัวถัง หรือถ้ารถเตี้ยมากไป ยางเสียดสีกับบังโคลน ซุ้มล้อ และยางเสียหาย ไม่สวยงาม แถมยังมีผลต่ออากาศพลศาสตร์ด้วย

วิธีแก้ไข

1. เจียร หรือพับขอบซุ้มล้อ
เป็นวิธีแก้ไขในกรณีที่ล้อไม่ถ่างออกมามากเกินไป หรือเวลาวิ่งตรงไม่ติด แต่พอขึ้นเนิน เลี้ยว หรือบรรทุกหนักแล้วติด การพับซุ้มถือเป็นวิธีที่นิยมกันมาก แต่ต้องเป็นร้านที่มีฝีมือ เพราะถ้าสีเกิดเสียหายค่าทำสีจะแพงกว่าหลายเท่า แต่วิธีเจียรซุ้มเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ ซุ้มล้อจะไม่แข็งแรง ยืนพิงเบาๆก็อาจจะยุบได้ หรือถ้าไม่ป้องกันสนิม ซุ้มล้อจะผุอย่างรวดเร็ว
2. ขยายซุ้มล้อ หรือ Wide Bodyการทำให้ซุ้มล้อกว้างขึ้น ถือเป็นวิธีที่ผู้ผลิตยังใช้กัน เป็นงานที่ต้องลงทุนทุบตัวถัง หรือตัดซุ้มล้อใหม่ให้กว้างขึ้น แล้วทำสี เป็นงานที่ลงทุนมาก แต่ก็ให้ความสวยงามมากขึ้น
3. โป่งล้อ หรือ Over Fender
เป็นลักษณะโป่งพลาสติก หรือไฟเบอร์เย็บติดกับซุ้มล้อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากในหมู่รถพวก 4X4 จนถึงรถระดับแข่งขัน Circuit
4. ซื้อล้อใหม่ คงไม่ต้องอถิบายกันมากนะครับ

ออฟลึก ออฟตื้น มีผลกับช่วงล่างอย่างไร
พวกแม็กซ์ออฟลึกๆ หรือล้อถ่างออกมาด้านนอก จะมีแรงกระทำต่อลูกปืนล้อ ลูกหมาก มากกว่า (คล้ายคานกระดกที่ย้ายน้ำหนักไปอยู่ด้านปลายมากขึ้น) เป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของพวกช่วงล่าง แต่ให้พลทางด้านการเกาะถนนเพิ่มขึ้น ต่างจากพวกออฟตื้นพวกนี้มีผลต่อช่วงล่างน้อยกว่า อายุการใช้งานของช่วงล่างยาวนานกว่า

หวังว่าคงจะมีประโยช์นะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 สิงหาคม 2011, 18:21:17 โดย AoF ThE BesT » บันทึกการเข้า

kudeaw
AE Thailand Club Member
Senior
*****



กำลังใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 584


« ตอบ #30 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2011, 21:36:12 »

เอาความรู้เรื่อง OFFSET มาฝากท่านได้ไม่รู้จร้า
ออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET 
ออฟเซ็ต คือ ระยะห่างระหว่าง หน้าแปลนยึดดุมล้อ (Hub Mounting Surface) ภายในล้อแม็กซ์ กับขอบกระทะล้อด้านนอก นับจากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้ง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ออฟเซ็ตศูนย์ (Offset Zero)
คือตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี (นึกถึงถ้าเราเอาล้อแม็กซ์กว้าง 8 นิ้ว มาผ่าครึ่ง จะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 4 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้น อยู่กลึ่งกลางพอดี) เรียกว่าออฟเซตศูนย์
ออฟเซ็คบวก ( Positive Offset)คือตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 38 มิลิเมตรเรียก + 38 เป็นต้น สังเกตง่ายออฟเซตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
ออฟเซ็ตลบ (Negative Offset)
ตรงข้ามกับออฟเซตบวก พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยึ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกัน แม็กซ์ออฟลึก (โคตร) นั่นเอง

วิธีวัดออฟเซตของล้อ
มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง (อย่างผมเคยเป็นคนขายก็ง่าย ) แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าวๆ สไตล์เรา Thaispeedcar และ เพื่อความเข้าใจเรื่อง Offset มากขึ้น ดังนี้
ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว


หรือเอาสั้นๆ การหาออฟเวทของวงล้อรถยนต์ ให้ทำดังนี้..

1.ให้ลากเส้นสมมุติ ผ่านจุดศูนย์กลางของวงล้อ                                                                 
2.ให้ลากเส้นสมมุติ แบ่งครึ่งความกว้างของวงล้อ
3.ให้ดูจุดตัดของเส้นทั้งสองเส้น กึงกลางล้อพอดี ออฟเซ็ท เป้น 0
3.1 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านนอก มากกว่าจุดตัด.......ออฟเซ็ทเป็นบวก
3.2 ดุมยึดแกนล้อ อยู่ใกล้ขอบล้อด้านใน มากกว่าจุดตัด........ออฟเซ็ทเป็นลบ


รถแต่ละรุ่น จะมี ค่าoffsetหลากหลาย ไม่เหมือนกัน บางอย่างก็ใช้ทดแทนกันได้ ซึ่งค่าoffsetนั้น จะมีความสัมพันธ์กับความกว้างของแม็กซ์ จึงต้อง
คำนึงถึงความกว้างของแม็กซ์ด้วย

สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซตที่พอดีกับรถ ง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ
วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

ออฟเซ็ตติดลบมากไป (ล้อถ่างออกนอกซุ้มล้อ)
ล้อ และยางจะเกิน ออกมานอกซุ้มล้อ เกิดโคลนกระเด็นใส่ตัวถัง หรือถ้ารถเตี้ยมากไป ยางเสียดสีกับบังโคลน ซุ้มล้อ และยางเสียหาย ไม่สวยงาม แถมยังมีผลต่ออากาศพลศาสตร์ด้วย

วิธีแก้ไข

1. เจียร หรือพับขอบซุ้มล้อ
เป็นวิธีแก้ไขในกรณีที่ล้อไม่ถ่างออกมามากเกินไป หรือเวลาวิ่งตรงไม่ติด แต่พอขึ้นเนิน เลี้ยว หรือบรรทุกหนักแล้วติด การพับซุ้มถือเป็นวิธีที่นิยมกันมาก แต่ต้องเป็นร้านที่มีฝีมือ เพราะถ้าสีเกิดเสียหายค่าทำสีจะแพงกว่าหลายเท่า แต่วิธีเจียรซุ้มเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ ซุ้มล้อจะไม่แข็งแรง ยืนพิงเบาๆก็อาจจะยุบได้ หรือถ้าไม่ป้องกันสนิม ซุ้มล้อจะผุอย่างรวดเร็ว
2. ขยายซุ้มล้อ หรือ Wide Bodyการทำให้ซุ้มล้อกว้างขึ้น ถือเป็นวิธีที่ผู้ผลิตยังใช้กัน เป็นงานที่ต้องลงทุนทุบตัวถัง หรือตัดซุ้มล้อใหม่ให้กว้างขึ้น แล้วทำสี เป็นงานที่ลงทุนมาก แต่ก็ให้ความสวยงามมากขึ้น
3. โป่งล้อ หรือ Over Fender
เป็นลักษณะโป่งพลาสติก หรือไฟเบอร์เย็บติดกับซุ้มล้อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากในหมู่รถพวก 4X4 จนถึงรถระดับแข่งขัน Circuit
4. ซื้อล้อใหม่ คงไม่ต้องอถิบายกันมากนะครับ

ออฟลึก ออฟตื้น มีผลกับช่วงล่างอย่างไร
พวกแม็กซ์ออฟลึกๆ หรือล้อถ่างออกมาด้านนอก จะมีแรงกระทำต่อลูกปืนล้อ ลูกหมาก มากกว่า (คล้ายคานกระดกที่ย้ายน้ำหนักไปอยู่ด้านปลายมากขึ้น) เป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของพวกช่วงล่าง แต่ให้พลทางด้านการเกาะถนนเพิ่มขึ้น ต่างจากพวกออฟตื้นพวกนี้มีผลต่อช่วงล่างน้อยกว่า อายุการใช้งานของช่วงล่างยาวนานกว่า

หวังว่าคงจะมีประโยช์นะครับ


+++++++++++++โดน ใจ มากอ่ะ  สุดยอด สุดยอด สุดยอด++++++++++
บันทึกการเข้า

“วางเครื่องเดิมๆ ไม่อยากพังบ่อยๆ แรงแต่ ไม่ทนก็เท่านั้น
หน้า: 1 [2]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: