หัวข้อ: เรื่องของ เกรดน้ำมันเครื่อง เริ่มหัวข้อโดย: Thundercats-ViT ที่ 29 เมษายน 2010, 12:44:56 ที่มา : ปตท.
ความหมายของเกรดน้ำมัน เครื่องที่อยู่ข้างกระป๋องนั้นมีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์เรา สามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้สองประเภทด้วยกันดังนี้ -แบ่งตามความหนืด -แบ่งตามสภาพการใช้งาน การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด แบบนี้จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย มาตรฐาน "SAE" คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย "สมาคมวิศวกรยานยนต์" ของอเมริกา (Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องแบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของ น้ำมันหล่อลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็น ต้น น้ำมัน ที่มีตัว "W" ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคำว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ -18 องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้น ใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับ เกรดที่มี "W" ต่อท้าย เลขยิ่งน้อยยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบมาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใส ได้ถึงประมาณ -30 องศาเซลเซียส เกรด 20 W สามารถคง ความข้นใสได้ถึงอุณหภูมิประมาณ -10 องศาเซลเซียส น้ำมันเครื่องทั้งสองเกรดนี้เรียกว่า "น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว" (Single Viscosity หรือ Single Grade) ส่วนน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม (Multi Viscosity หรือ Multi Grade) นั้น ทาง SAE ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเกรดรวม แต่เกิดจากการที่ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงโดยใช้สารเคมีเข้ามาผสมจนสามารถทำให้ น้ำมันเครื่องนั้น ๆ มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของ SAE ทั้งสองแบบได้ เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการใช้งานตามสภาพ ภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิต่างกันมาก การผสมสารปรับปรุงคุณภาพนั้นแตกต่างกันมากน้อยตามความต้องการ ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเกรด 5W-40 หรือ 15W-50 แต่การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องตามความหนืดที่เราเรียกกันเป็น เบอร์นี้สามารถบอกได้แค่ช่วง ความหนืดเท่านั้นแต่ไม่ได้บ่งบอกถึงระดับในการ ใช้งานของเครื่องยนต์แต่ละประเภท ต่อมาในประมาณปี 1970 SAE,API และ ASTM (American Society for Testing and Materials) ได้ร่วมมือกันกำหนดการแยกน้ำมันเครื่องตามสภาพการทำงานของ เครื่องยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับ เทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นเราจึงเห็นได้เห็นจากข้างกระป๋องบรรจุ ตัวอย่างเช่น การบอกมาตรฐานในการใช้งานไว้ API SJ/CF และมีค่า ความหนืดของ SAE 20W-50 ควบคู่กันไปด้วยแสดงว่า น้ำมันเครื่องชนิดนี้สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซินได้เทียบเท่าเกรด SJ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะเทียบเท่า เกรด CF ที่ค่าความหนืด SAE 20W-50 หัวข้อ: Re: เรื่องของ เกรดน้ำมันเครื่อง เริ่มหัวข้อโดย: Thundercats-ViT ที่ 29 เมษายน 2010, 12:47:31 การกำหนดมาตรฐานของน้ำมันเครื่องตาม สภาพการใช้งานนั้น สามารถแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเครื่องโดยอ้างอิงสถาบันใหญ่ได้หลายสถาบันเช่น
-สถาบัน "API" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา -สถาบัน "ACEA" (เดิมเรียก CCMC) เกิดจากการรวมตัวของ สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรป -สถาบัน "JASO" เกิดจากการรวมตัวของสถาบันกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าแต่เดิมสถาบัน API ซึ่งเคยมีบทบาทมากในอดีต และเป็นสถาบันที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยอมรับ ปัจจุบันในกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นก็ได้มีการออกมาตรฐานขึ้นมาเป็นของตน เองเช่นกัน คำว่า "API" ย่อ มาจาก "American Petroleum Institute" หรือสถาบัน ปิโตรเลียมแห่งอเมริกาซึ่งจะแบ่งเกรดน้ำมันหล่อลื่นตามสภาพการใช้งาน เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือ -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เบนซินเป็นเชื้อเพลิงใช้สัญลักษณ์ "S" (Service Stations Classifications) นำหน้า เช่น SA, SB, SC, SD, SE, SF, SG, SH, และ SJ -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifi-cations) นำหน้า เช่น CA, CB, CC, CD, CD-II, CF, CF-2, CF-4, และ CG-4 เรามาดูน้ำมันเครื่องที่ใช้น้ำมัน เบนซินเป็นเชื้อเพลิงกันก่อนจะใช้สัญลักษณ์ "S" และ ตามด้วยสัญลักษณ์แทนน้ำมันเกรดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ -SA สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้ งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ -SB สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้ งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่ -SC สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1964-1967 โดยมีคุณภาพสูงกว่า มาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า -SD สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1968-1971 โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC -SE สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1971-1979 มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC ได้ดีกว่าอีกด้วย -SF สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1980-1988 มีคุณสมบัติป้องกันการ เสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมี สารชำระล้างคราบเขม่าได้ดีขึ้น -SG เริ่มประกาศใช้เมื่อเดือน มีนาคม ค.ศ.1988 มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิมสารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น -SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ.1994 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่อง ยนต์อย่างรวดเร็วมีระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ ที่ถูกนำเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบ Catalytic Convertor เพิ่มขึ้น -SJ เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้เมื่อ ค.ศ.1997 มีคุณสมบัติทั่วไป คลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่า มีค่าการระเหยตัว (Lower Volatility) ต่ำ กว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส (Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่อง กรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น หัวข้อ: Re: เรื่องของ เกรดน้ำมันเครื่อง เริ่มหัวข้อโดย: Thundercats-ViT ที่ 29 เมษายน 2010, 12:53:23 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะใช้ สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifications) และตาม ด้วยสัญลักษณ์ที่แทนด้วยน้ำมันเกรดต่าง ๆ
โดยจะแบ่งตามลักษณะเครื่องยนต์ที่ใช้งานแตกต่างกัน -CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1910-1950 มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน -CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ ค.ศ. 1949 มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA -CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุป เปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ ค.ศ. 1961 ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่ามีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม -CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุป เปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ ค.ศ.1955 มีคุณภาพสูงกว่า CC -CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร -CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุป เปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ ค.ศ.1983 มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่อง -CF เป็นมาตรฐานสูงสุดในเครื่อง ยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา (Mono Grade) เริ่ม ประกาศใช้เมื่อ ค.ศ. 1994 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ ดีเซลทุกชนิด ไม่ว่าจะใช้ งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย -CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุน ใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร -CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่น ใหม่ 4จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้ งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม -CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4จังหวะ ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้ปี 1996 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม มาตรฐานน้ำมันเครื่อง ACEA ย่อมาจาก The Association des Constructeurs Europeens d'Automobile หรือเป็นทางการว่า European Automobile Manufarturer' Association สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ ในตลาดร่วมยุโรปซึ่งได้แก่ ALFA ROMEO, BRITISH LEYLAND, BMW, DAF, DAIMLER-BENZ, FIAT, MAN, PEUGEOT, PORSCHE, RENAULT, VOLKSWAGEN, ROLLS-ROYCE, และ VOLVO ได้มีการ กำหนดมาตรฐานโดยเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 1996 โดยยกเลิกมาตรฐาน CCMC ไปเนื่องจาก ACEA มีสถาบันเข้าร่วม โครงการมากกว่าและมีข้อกำหนดที่เด่นชัด -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline (Petron) Engines) A 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับ เครื่องยนต์เบนซินทั่วไป A 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก A 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับ เครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบัน -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ขนาดเล็ก (Light Duty Diesel Engines) B 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กทั่วไป B 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก B 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กในปัจจุบัน -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ขนาดใหญ่ (Heavy Duty Diesel Engines) E 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ทั่วไป E 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก E 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน มาตรฐานน้ำมันเครื่อง JASO ย่อมาจาก Japanese Automobile Standard Organization หรือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ต่อมาเรียกรวมเป็นมาตรฐาน ISO โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ -เครื่องยนต์เบนซิน JSE (ISO-L-EJGE) เทียบพอๆ กับมาตรฐาน API SE หรือ CCMC G1 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้น JSG (ISO-L-EJDD) เทียบกับมาตรฐาน สูงกว่า API SG หรือ CCMC G4 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้นไปอีก -เครื่องยนต์ดีเซล JASO CC (ISO -L-EJDC) โดยกำหนด ว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็น เวลา 50 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CC เป็นอย่างต่ำ JASO CD (ISO -L-EJDD) โดยกำหนด ว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็น เวลา 100 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CD เป็นอย่างต่ำ มาตรฐานน้ำมันเครื่องแห่งกองทัพสหรัฐ มาตรฐาน MIL-L-2104 เป็นมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่นที่กำหนดขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน มีรายละเอียดดังนี้ MIL-L-2104 A ถูกกำหนด ขึ้นเมื่อปี 1954 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มี กำมะถันต่ำและเครื่องยนต์เบนซินทั่ว ๆ ไป ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว MIL-L-2104 B กำหนดใช้เมื่อปี 1964 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นทีมีสารเพิ่มคุณภาพด้านการป้องกันการ เกิดอกซิเดชั่นและป้องกันสนิม เทียบได้กับ API CC/SC MIL-L-2104 C กำหนดใช้ เมื่อปี 1970 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้กับเครื่อง ยนต์ที่มีรอบสูงมาก ๆ และการใช้งานหนัก มีสารป้องกันคราบเขม่า ป้องกันการสึกหรอ และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC MIL-L-2104 D กำหนดใช้เมื่อปี 1983 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC MIL-L-2104 E กำหนดใช้เมื่อปี 1988 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 จังหวะ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CF/SG มาตรฐาน MIL-L-46152 เริ่มกำหนดใช้เมื่อปี 1970 เป็นมาตรฐาน น้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน MIL-L-46152 A เริ่ม ใช้เมื่อปี 1980 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน ทั่วไป เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CC MIL-L-46152 B กำหนดใช้เมื่อปี1981เป็นการรวมมาตรฐาน MIL-L-2104 Bเทียบได้ กับมาตรฐาน API SF/CC MIL-L-46152 C กำหนด ใช้เมื่อปี 1987 โดยปรับปรุงจากมาตรฐาน MIL-L-46152 B เพราะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดจุดไหลเทใหม่ MIL-L-46152 D เป็นมาตรฐานที่ปรับ ปรุงมาจาก MIL-L-46152 C เนื่องจากมีการเปลี่ยน แปลงวิธีการทดสอบเครื่องยนต์ และมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดอกซิเดชั่นดีขึ้นกว่าเดิม เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CD MIL-L-46152 E มาตรฐานล่าสุด เทียบได้กับมาตรฐาน API SG/CE ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันเครื่องก็ ไม่ควรฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เลือกใช้ให้เหมาะกับรถก็พอแต่ควรจะเลือกใช้ค่าความหนืดให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ และอาศัยการเปลี่ยนถ่ายที่เหมาะสมแก่เวลาส่วนการเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์นั้นมันก็ดีที่ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้ อีกทางแต่มันไม่ค่อยเหมาะสมกับรถที่ใช้งานธรรมดา จะเหมาะกับพวกชอบใช้รอบ เครื่องยนต์สูงๆ ขับซิ่ง ๆยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ต้องไม่จ่ายแพงกว่า และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งก็ควรที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมัน เครื่องควรคู่กันไปด้วย สำหรับในบ้านเราเบอร์น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมนั้นมีหลาย เบอร์ด้วยกันสามารถใช้ได้ทั้งนั้น แต่ที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่เบอร์ SAE 15W/40 และ 20W/50 แต่ถ้าจะใช้เบอร์ต่างไปจากนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอให้เบอร์ความหนืดในช่วงฤดูร้อนเป็นเบอร์ 30 ขึ้นไปก็ใช้ได้ หัวข้อ: Re: เรื่องของ เกรดน้ำมันเครื่อง เริ่มหัวข้อโดย: jod87 ที่ 14 สิงหาคม 2016, 20:45:57 homs
|